"มหาประตูสู่อินโดจีน ถิ่นวีรกรรมปราบฮ่อ หลวงพ่อพระใส บั้งไฟพระยานาคราช
สะพาน 2 ชาติ ไทยลาว ฝั่งโขงยาวที่สุดในสยาม"
จากคำขวัญจังหวัดหนองคายข้างต้น พอจะเดาออกกันออกหรือยังคะว่าบทความนี้กำลังจะกล่าวถึงอะไร ใช่แล้วค่ะ จะเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจาก "ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค" ที่เป็นความเชื่อดั้งเดิมของชาว 2 ฝั่งโขงนั่นเองค่ะ
![]() |
ที่มา:https://www.phonphisainongkhai.com/1318 |
โดยปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคถือได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณลุ่มน้ำโขงมีผู้คนนับถือและให้ความสนใจเป็นจำนวนมากทั้งผู้คนในประเทศและต่างประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนในภาคอีสานของไทยเราและประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศลาวที่มีความใกล้ชิดเปรียบเสมือนพี่น้องจึงทำให้บริเวณสองฝั่งโขงระหว่างไทยลาวนี้มีความเชื่อที่แทบจะเหมือนกันทุกประการ
ทั้งวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตความเป็นอยู่ หรือแม้แต่ภาษามีความคล้ายกัน รวมถึงความเชื่อเรื่อง
“ปรากฏการณ์พญานาค” นี้อีกด้วย
![]() |
ที่มา:https://www.chillpainai.com/scoop/5799/ |
การศึกษาครั้งนี้จัดทำขึ้นเพื่อสำรวจความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวเกี่ยวกับปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค
ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ตั้งแต่ปี พ.ศ.2535-2562 โดยทำการศึกษาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นวิทยานิพนธ์ งานวิจัย หนังสือ บทความ เว็บไซต์ หรือคลิปสารคดี
โดยศึกษาและวิเคราะห์ผ่านข้อมูลเอกสาร ทั้งในเรื่องของลักษณะของการเกิดปรากฏการณ์ ความเชื่อ
ประเพณีวัฒนธรรมของชาวอีสานของไทยและประเทศลาวซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงมุมมองทางวิทยาศาสตร์ต่อปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค จำนวน 28 เรื่อง โดยแบ่งเป็น 2 ช่วง และในแต่ละช่วงก็แบ่งออกเป็น 3 ประเด็น ซึ่งสรุปแต่ละช่วงได้ดังนี้
1.ช่วงแรก ตั้งแต่ปี พ.ศ.2535-2550
ประเด็นด้านประวัติศาสตร์
จากการศึกษาจากงานเขียนทั้งหมด 8 เรื่อง
เป็นหนังสือ 3 เรื่อง วารสาร 3 เรื่อง และวิทยานิพนธ์ 2 เรื่อง พบว่าประวัติศาสตร์เกี่ยวกับปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคนั้นเกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน
มีทั้งตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน ที่มีความเชื่อเกี่ยวกับพญานาค
และเชื่อกันว่าปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคที่เกิดขึ้นมานั้น
เป็นเพราะพญานาคที่อยู่ใต้บาดาลของลุ่มน้ำโขง โดยชาวบ้านสมัยก่อนเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า
“บั้งไฟผี” ตามลักษณะของลูกไฟที่พุ่งขึ้นมาด้วยความเร็ว
โดยคำว่าผีนั้นเรียกตามลักษณะที่ปรากฏคือ
ไม่สามารถสังเกตได้และลึกลับเหนือธรรมชาติ แต่ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นบั้งไฟพญานาค
เพราะคำว่า “ผี” ไม่เป็นสิริมงคล นอกจากนี้ชาวหนองคายยังมีเรื่องราวตำนานที่เชื่อกันมาว่าตนเป็นหลานพญานาคหรือสืบทอดเผ่าพันธุ์มาจากพญานาคใต้บาดาล และยังมีความเชื่อว่าพุทธศาสนากับนาคหรือพญานาคนั้น
มีความสนิทชิดเชื้อกันมากเท่าที่ปรากฏนาคที่พบในพุทธศาสนาเป็น
งูใหญ่เป็นสัตว์เดียรฉาน แต่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเหมือนมนุษย์ เป็นสัตว์มีฤทธิ์มีพลัง
บางครั้งแปลงกายเป็นสัตว์อื่นหรือแม้แต่เป็นคนก็ได้
จึงมักจะปรากฏเป็นผู้คุ้มครองดูแลพุทธศาสนาอยู่เป็นประจํา
ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคที่พบเห็นจึงเกิดมาจากพญานาคจุดขึ้นเพื่อถวายพระพุทธเจ้า
ในวันออกพรรษาหรือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 นั่นเอง
ประเด็นด้านวิทยาศาสตร์
จากการศึกษางานเขียนทั้งหมด 2 เรื่อง เป็นงานวิจัย 1 เรื่อง และวารสาร 1 เรื่อง พบว่ามีการกล่าวถึงปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคในแง่ของการศึกษาทางวิทยาศาสตร์
โดยในเรื่องการศึกษาปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคที่หนองคาย ของนายแพทย์มนัส ในปี พ.ศ.2539
มีการค้นพบทฤษฎีว่าแท้จริงแล้วปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคเกิดจากการทับถมกันของซากใต้ลุ่มน้ำโขงทำให้เกิดแก๊สมีเทนพุ่งขึ้นมาทำปฏิกิริยากับออกซิเจนบนอากาศทำให้เกิดเป็นลูกไฟขึ้น
แต่ก็เกิดขึ้นโต้แย้งขึ้นในปีเดียวกันว่าการเกิดบั้งไฟพญานาคนี้หาใช่เป็นปรากฏการณ์โดยธรรมชาติแต่ประการใด
แต่เป็นการกระทําของมนุษย์ที่จัดสร้างขึ้น โดยมีหลักฐานประกอบ
และกล่าวว่าสําหรับบั้งไฟที่เกิดขึ้นนั้น หากจุดขึ้นในบริเวณบนพื้นดิน คงไม่มีปัญหาเพราะอยู่ไกลและมืดมองไม่เห็นอะไร
แต่ถ้าหากจะจุดบั้งไฟให้พุ่งขึ้นโดยจุดที่เกิดนั้นอยู่ห่างจากผู้จุดหรือแม้กระทั่งจุดบนฝั่งแล้วให้ไปปะทุขึ้นในแม่น้ำได้ ซึ่งเป็นลักษณะบั้งไฟที่เรียกว่า “บั้งไฟลูกหน” นั่นเอง แต่อย่างไรก็ตาม ทฤษฎี และข้อโต้แย้ง ดังกล่าว
ก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้อย่างชัดเจน
ประเด็นด้านการท่องเที่ยว
จากการศึกษาจากงานเขียนในด้านการท่องเที่ยว 2 เรื่อง เป็นงานหนังสือ 1
เรื่อง และงานวิจัย 1 เรื่อง
ทำให้ทราบว่าในช่วงนั้น บั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นในคืนวันที่ 15 ค่ำ
กับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ขนาดของลูกไฟใหญ่เท่ากับ ไข่ไก่, เท่าลูกหมาก หรือเท่าหัวแม่มือ เวลาเกิด
ของลูกไฟนั้นไม่แน่นอนบางปีก็เริ่มตั้งแต่หัวค่ำ บางปีก็เริ่มแต่ 2-3 ทุ่ม สถานที่เกิดบางครั้งก็อยู่ใกล้
บางครั้งก็อยู่ไกล จากฝั่งแม่น้ำเป็นเวลานาน 3-4 ชั่วโมง
บางจุดมีมากมีน้อยต่างกันคือ ตั้งแต่ 50-100 ลูก สูงประมาณ 20-30 เมตร ที่อําเภอโพนพิสัย
จังหวัดหนองคาย และบ้านน้ำเป โดยลักษณะของลูกไฟนั้นมีสีแดงอมชมพู
พุ่งขึ้นผิวน้ำทําให้เกิดแรงสว่างไสวเหนือลําแม่น้ำโขง มีผู้คนให้ความสนใจเดินทางมาดูปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคเป็นจำนวนมาก
จึงมีการศึกษาการจัดการพื้นที่บริเวณจังหวัดหนองคาย
ที่ทำให้ในช่วงเทศกาลนี้ผู้คนบริเวณลุ่มน้ำโขงนี้มีสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างมหาศาล
แม้ว่าหลังจบงานนั้นจะทำให้เกิดขยะซึ่งเป็นมลภาวะต่อคนในพื้นที่ก็ตาม
ทุกคนก็พร้อมต้อนรับแขกผู้มาเยือนบ้านของตนเสมอ แต่ในความเห็นของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาดูปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคยังมีความไม่พอใจกับการจัดงานของพื้นที่ลุ่มน้ำโขงของจังหวัดหนองคายมากนัก
คนในพื้นที่ต้องปรับปรุงและแก้ไขจัดระเบียบพื้นที่ให้ดีขึ้นต่อไป
2.ช่วงหลัง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2551-2562 (ปัจจุบัน)
ประเด็นด้านประวัติศาสตร์
จากการศึกษาทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคในช่วงปี
พ.ศ.2551-2562 พบงานเขียนทั้งหมด 3 เรื่อง เป็นวิทยานิพนธ์ 1 เรื่อง วารสาร 1
เรื่อง และงานเขียนบนเว็บไซต์ 1 เรื่อง พบว่างานเขียนส่วนใหญ่ยังคงเขียนถึงความเชื่อเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคว่ามีความผูกพันกับชีวิตของคนอีสานตั้งแต่เกิด
เกี่ยวข้องกับชีวิตตลอดเวลา ซึ่งมีข้อมูลอ้างอิงมาจากหนังสือเรื่องบั้งไฟพญานาค จังหวัดหนองคาย
นั่นเอง อีกทั้งยังกล่าวเสริมว่า เป็นอํานาจเหนือธรรมชาติซึ่งมีพญานาคเป็นตัวแทน จึงเป็นพื้นฐานสําคัญของวิถีชีวิตของชาวอีสานมาตั้งแต่ครั้งอดีต
พญานาคทําให้ชาวอีสานดํารงชีวิตอยู่ในสังคมเดียวกันด้วยความราบรื่น สงบสุข
โดยไม่ต้องมีกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร และยังมีการกล่าวว่าบั้งไฟพญานาคเป็นประเพณีที่อยู่ใน
ฮีต 11 ของชาวอีสาน ที่เกิดขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 อีกด้วย
ประเด็นด้านวิทยาศาสตร์
จากที่กล่าวไปข้างต้นเป็นการศึกษางานเขียนเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคด้านวิทยาศาสตร์ในช่วงปี
พ.ศ. 2551-2562 พบงานเขียนจากเว็บไซต์ทั้งหมด 2 เรื่อง โดยจากการศึกษางานเขียนดังกล่าวมีการยืนยันจากภาพถ่ายและข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์ว่า
ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคนั้น เกิดจากการยิงปืนอาร์กาและปืนคาร์บิน
ซึ่งเป็นกิจกรรมเฉลิมฉลองเทศกาลออกพรรษาของชาวลาวที่ทำกันมายาวนาน
ไม่ใช่ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติแต่อย่างใด และงานเขียนถัดมากล่าวว่าบั้งไฟพญานาค คือ
ก๊าซมีเทน-ไนโตรเจน
ที่เกิดจากการอาศัยอยู่ร่วมกันระหว่างแบคทีเรียที่ทนต่อออกซิเจนได้ ณ
ความลึกของแม่น้ำโขงและแหล่งน้ำข้างเคียง 4.55 -13.40 เมตร
ตำแหน่งที่มีสารอินทรีย์พอเหมาะใต้ผิวโคลน หรือทรายท้องแม่น้ำโขง
ซึ่งระดับน้ำขนาดนี้จะมีอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส
ทั้งนี้ในวันที่เกิดปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค
คือวันที่แสงแดดส่องลงมาในช่วงเวลาประมาณ 10,13 และ16
นาฬิกา มีอุณหภูมิมากกว่า 26
องศาเซลเซียสทำให้มีความร้อนมากพอที่จะย่อยสลายอินทรีย์
และจะมีก๊าซมีเทนจากการหมักมากว่า 3-4 ชั่วโมง ซึ่งมากที่จะก่อให้เกิดความดันก๊าชในผิวทรายทำให้ก๊าซจะหลุดออกมาและพุ่งขึ้นเมื่อโผล่พ้นน้ำนั่นเอง
ประเด็นด้านการท่องเที่ยว
จากที่กล่าวไปข้างต้นเป็นการศึกษางานเขียนเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคด้านวิทยาศาสตร์ในช่วงปี
พ.ศ. 2551-2562 ประกอบด้วยงานเขียนทั้งหมด 6 เรื่อง เป็นบทความจากเว็บไซต์ 6 เรื่อง และวารสาร 2 เรื่อง พบว่าข้อมูลส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการรับชมบั้งไฟพญานาค
ตามจุดต่างๆในจังหวัดหนองคาย และมีการกล่าวถึงจำนวนการผุดขึ้นมาของปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคทุกปี
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับการจัดระเบียบในพื้นที่ท่องเที่ยว และมีงานศึกษาศักยภาพลักษณะทางด้านวัฒนธรรมของชุมชนลุ่มน้ำโขง
จังหวัดหนองคาย ซึ่งพบว่าผู้คนมีความเห็นว่าวัดโพธิ์ชัยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพมากที่สุด
ส่วนวัฒนธรรมประเพณีมีความเห็นว่าเทศกาลบั้งไฟพญานาคมีศักยภาพมากที่สุดอีกด้วย
สรุปและข้อเสนอแนะ
จากการทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535-2562(ปัจจุบัน)
ได้พบงานเขียนทั้งหมด และวิดีโอรวมทั้งหมด 28 เรื่อง โดยสามารถสรุปได้เป็นประเด็นได้ดังนี้
ประเด็นด้านประวัติศาสตร์
|
ที่มา:http://www.amazingthaitour.com |
โดยช่วงแรก (ปี พ.ศ. 2535-2550)
ผู้จัดทำสามารถค้นพบงานเขียนในหมวดประวัติศาสตร์ทั้งหมด 8 เรื่อง แต่ในช่วงหลัง
(ปี พ.ศ. 2551-2562) ผู้จัดทำสามารถค้นพบงานเขียนในหมวดประวัติศาสตร์ได้เพียง 3
เรื่อง ซึ่งจากการศึกษาข้อมูล ทำให้ค้นพบว่ามีการอ้างอิงงานเขียนของจากหนังสือสื่อธรรมบรรณาธิการ
เรื่องบั้งไฟพญานาค จังหวัดหนองคาย ในปี พ.ศ. 2539 ซึ่งจากการทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคทำให้ทราบถึงความเป็นมาของปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคว่าเป็นลูกไฟประหลาด
หรือที่เรียกกันว่าบั้งไฟพญานาค เกิดขึ้นบริเวณแม่น้ำโขงทางหนองคายของฝั่งไทย
และเกิดบริเวณแม่น้ำโขงฝั่งลาวด้วย ซึ่งมีการเล่าสืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนานว่าเป็นลูกไฟที่พญานาคจุดขึ้นมาเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าในวันออกพรรษา
เป็นปรากฏการณที่เกิดขึ้นปีละ 1 ครั้ง โดยชาวบ้านสมัยก่อนเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า
“บั้งไฟผี” ตามลักษณะของลูกไฟที่พุ่งขึ้นมาด้วยความเร็ว
โดยคำว่าผีนั้นเรียกตามลักษณะที่ปรากฏคือ ไม่สามารถสังเกตได้และลึกลับเหนือธรรมชาติ
แต่ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็น “บั้งไฟพญานาค” เพราะคำว่า “ผี” ไม่เป็นสิริมงคล ปรากฏการณ์นี้ได้รับความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก
ไม่มีผู้ใดสามารถตอบได้ว่าลูกไฟสีแดงอมชมพู ขนาดเท่าไข่ไก่
ที่พุ่งขึ้นไปบนฟ้าแล้วหายไปนี้เกิดจากอะไรกันแน่
ประเด็นด้านวิทยาศาสตร์
![]() |
ที่มา:https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_52024 |
โดยช่วงแรก (ปี พ.ศ. 2535-2550)
ผู้จัดทำสามารถค้นพบงานเขียนในหมวดวิทยาศาสตร์ทั้งหมด 2 เรื่อง แต่ในช่วงหลัง (ปี
พ.ศ. 2551-2562) ผู้จัดทำสามารถค้นพบงานเขียนในหมวดวิทยาศาสตร์ได้ 2 เรื่อง ซึ่งหลายคนตั้งข้อสงสัยกับปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคนี้กันจำนวนมากว่าเกิดจากอะไร
โดยส่วนใหญ่จะอ้างข้อมูลของนายแพทย์มนัส
กนกศิลป์ จากงานวิจัยเรื่อง การศึกษาปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคที่หนองคาย ในปี พ.ศ.2538 และจากการศึกษาข้อมูลต่างๆจึงค้นพบว่า
มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น บ้างก็ว่าปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคนี้เกิดจากฝีมือมนุษย์
กล่าวคือ เป็นฝีมือทหารบ้านของฝั่งลาว ยิงกระสุนส่องวิถี
ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับชาวบ้านบริเวณนั้นที่มีความเชื่อในเรื่องพญานาค
บ้างก็ว่าปรากฏการณ์นี้เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ดังเช่น ทฤษฎีของนายแพทย์มนัส
กนกศิลป์ ซึ่งเกิดจากการหมักหมมใต้ผิวน้ำ และเกิดฟองก๊าซมีเทนและบรรยากาศแยกกันคนละส่วนเกิดปฏิกิริยาที่ผิวสัมผัสกับฟองก๊าซลุกติดไฟเกิดเป็นบั้งไฟพญานาคนั่นเอง
ซึ่งต่อมาก็มีทฤษฎีโต้แย้งทฤษฎีดังกล่าว
ว่าก๊าซมีเทนเมื่อลุกเป็นไฟแล้วขึ้นมาเหนือน้ำจะมีเสียงดัง
แต่บั้งไฟพญานาคที่พบนั้นขึ้นโดยที่ไม่มีเสียงใดเลย จากข้อมูลดังกล่าวจึงทำให้ไม่สามารถสรุปได้ว่าแท้จริงแล้วบั้งไฟพญานาคนี้เกิดจากอะไรกันแน่
แต่งานเขียนในปัจจุบันมีความเชื่อว่าเป็นการกระทำของมนุษย์จากฝั่งลาว
มากกว่าเกิดจากพญานาค
ประเด็นด้านการท่องเที่ยว
![]() |
ที่มา:http://news.trueid.net/detail/30818
|
โดยช่วงแรก (ปี พ.ศ. 2535-2550)
ผู้จัดทำสามารถค้นพบงานเขียนในหมวดการท่องเที่ยวทั้งหมด 2 เรื่อง แต่ในช่วงหลัง
(ปี พ.ศ. 2551-2562) ผู้จัดทำสามารถค้นพบงานเขียนในหมวดการท่องเที่ยวได้ 6 เรื่อง
และยังได้ศึกษาจากคลิปสารคดีอีก 5 เรื่อง ซึ่งจากข้อมูลที่ได้ศึกษา ค้นพบว่ามีผู้คนให้ความสนใจเกี่ยวกับปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคจำนวนมาก
เห็นได้จากวันออกพรรษา วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11
มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาที่ริมฝั่งแม่น้ำโขง โดยเฉพาะจังหวัดหนองคาย
อำเภอโพนพิสัยจำนวนมาก
ซึ่งทำให้เศรษฐกิจของผู้คนบริเวณลุ่มน้ำโขงดีขึ้นมากสุดในรอบปี
ผู้คนบริเวณนี้ต่างมีความสุข และยินดีที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวนมาก แม้ว่าหลังจากจบเทศกาลจะทำให้ชุมชนระแวกนี้เต็มไปด้วยขยะ
เศษซากสิ่งของที่นักท่องเที่ยวนำมาทิ้งไว้ และในแต่ละปีเกิดปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคผุดขึ้นจากน้ำจำนวนมากกว่า
800 ลูก แต่ในปี พ.ศ. 2558 เกิดขึ้นน้อย
เกิดเพียง 536 ลูก ซึ่งนักท่องเที่ยวและคนบริเวณลุ่มน้ำโขงของประเทศไทยเชื่อว่าพญานาคร่วมไว้อาลัย
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เช่นเดียวกับประเทศไทยทั่วประเทศ
จึงงดการรื่นเริง เป็นสาเหตุที่ทำให้บั้งไฟพญานาคปีนี้เกิดขึ้นน้อยนั่นเอง
และในปีต่อมาก็เกิดบั้งไฟพญานาคขึ้นมากมายตามปกติ
สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยวที่มาชมจำนวนมาก
นอกจากนี้ส่วนคลิปวิดีโอยังอธิบายถึงความเป็นมาและความเชื่อเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคโดยอ้างงานเขียนจากหนังสือบั้งไฟพญานาคจังหวัดหนองคาย
ในปี พ.ศ. 2538 และมีการสัมภาษณ์นายแพทย์มนัส กนกศิลป์ ซึ่งได้กล่าวทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคจากงานวิจัยของตนที่เขียนไว้ในปีพ.ศ.2538
อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าปรากฏการณบั้งไฟพญานาคจะเกิดขึ้นจากอะไร ปรากฏการณ์นี้ก็ทำให้สภาพความเป็นอยู่
และเศรษฐกิจของจังหวัดหนองคายเติบโตขึ้นอย่างมหาศาล
จากที่กล่าวมาข้างต้น
เป็นการศึกษาที่มุ่งเน้นศึกษาทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับความเป็นมาและการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค
ในด้านประวัติศาสตร์ ด้านวิทยาศาสตร์ และด้านการท่องเที่ยว เพียงเท่านั้น
การศึกษาครั้งนี้ยังขาดการศึกษาทางด้านประเพณีวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค
เช่น ประเพณีบุญบั้งไฟ ตำนานพระยาแถน ประเพณีการไหลเรือไฟในวันออกพรรษา ตัวพญานาค หรืออื่นๆที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อของพญานาค ซึ่งต้องศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม
เพื่อที่จะเข้าใจบริบทปรากฏการณ์ดังกล่าวมากยิ่งขึ้น และยังคงต้องศึกษาและหาข้อพิสูจน์ในปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ต่อไป
บรรณานุกรม
หนังสือ
ภราดร รัตนกุล. (2539). บั้งไฟพญานาค. พิมพ์ครั้งที่ 1 กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ธีรกิจ
(ประเทศไทย) จำกัด.
สื่อธรรมบรรณาธิการ.
(2538). บั้งไฟพญานาค จังหวัดหนองคาย. พิมพ์ครั้งที่ 1 กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์น้ำฝน.
สุจิตต์ วงษ์เทศ. นาคในประวัติศาสตร์อุษาคเนย์.
พิมพ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน.
หนังสือฐานสโมนุสรณ์.พญานาคกับหลวงปู่ชอบ.
พิมพ์ครั้งที่ 1 กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน.
งานวิจัย
สุธาสินี นาคเสน. (2549).
การศึกษาสภาพแวดล้อมและการจัดการเทศกาลบั้งไฟพญานาคของอำเภอโพนพิสัย
จังหวัดหนองคาย. งานวิจัย มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม.
นายแพทย์มนัส กนกศิลป์. (2538). การศึกษาปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคที่หนองคาย. งานวิจัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วิทยานิพนธ์
จิตรกร เอมพันธ์. (2545). พญานาคเจ้าแห่งแม่น้ำโขงพิธีกรรมกับระบบความเชื่อพื้นบ้านแห่งวัฒนธรรมอีสาน.
ลลนา ศักดิ์ชูวงษ์. (2548). การให้ความหมายและเหตุผลการดำรงอยู่ของประเพณีบั้งไฟพญานาคในยุคโลกาภิวัฒน์. วิทยานิพนธ์ปริญญานิเทศศาสตร์มหาบัญฑิต
สาขาวิชานิเทศศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์.
อนัญญา ปานจีน. (2553) .การศึกษา
คติ ความเชื่อเรื่องพญานาคในพื้นที่อีสานตอนบน เพื่อเสนอแนวทางสู่การออกแบบสถาปัตยกรรมภายในพิพิธภัณฑ์นาคา, วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปะมหาบัญฑิตสาขาวิชาการออกแบบภายใน
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิปากร.
วารสาร
มนตรี บุญเสมอ. (2539). โต้ทฤษฎีมนัส “บั้งไฟพญานาค”
ฝีมือมนุษย์. วารสารศิลปวัฒนธรรม.มหาวิทยาลัยขอนแก่น,
2(4) หน้า 86-93.
รณชัย บุญสอน. (2562). การบริหารจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน ของชุมชนพื้นที่ลุ่มน้ำโขง จังหวัดหนองคาย. วารสาวิชาการมหาวิทยาลัยปทุมธานี 11(1),
หน้า 232-243.
วัฒนพนัธุ์ ครุฑะเสน. (2557). ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค:
การสร้างนวัตกรรมเพื่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
จังหวัดหนองคาย นครหลวงเวียงจันทน์ และแขวงบอลิคำไซ. วารสารวิชาการ
Veridian
E-Journal 7(2) ,หน้า 1611-1626.
วีรยุทธ เลิศพลสถิต. (2559). ความต่างในความเหมือนของพิธีกรรม
บูชาพระธาตุสองฝั่งโขง. วารสารศิลปกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 8(2) หน้า
22-43
สุรินทร์ มุขศรี.(2538). บันทึกปาฏิหาริย์บั้งไฟพญานาค.
วารสารศิลปวัฒนธรรม
ธันวาคม 2538,หน้า 47.
อพิสิทธิ์ ธีระจารุวรรณ.(2538). ในความลุ่มลึกของแม่น้ำโขง.
วารสารศิลปวัฒนธรรม ธันวาคม 2538,หน้า 26-30.
อุดม บัวศรี. (2538). นาคในมิติทางสังคมวัฒนธรรม.
วารสารศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น,หน้า1-5
บทความเว็บไซต์
กระทรวงวัฒนธรรม. (2559).
บั้งไฟพญานาค. สืบค้นเมื่อ 10 ตุลาคม 2562 จาก https://www.m-culture.go.th/travel/ewt_news.php?nid=744.
ข่าวสด. (2561). เรื่องบั้งไฟพญานาค ผุดจากน้ำโขง. สืบค้นเมื่อ 10 ตุลาคม 2562 จาก https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_1732114
ข่าวไทยพีบีเอส. (2560). เรื่อง ไม่ผิดหวัง บั้งไฟพญานาคหนองคายเกิดขึ้นเกือบ 800 ลูก. สืบค้นเมื่อ 10 ตุลาคม 2562 จาก https://news.thaipbs.or.th/content/266699.
เดลินิวส์. (2558). บั้งไฟพญานาคมาตามนัด
เย็น-ค่ำขึ้นแล้วกว่า729ลูก. สืบค้นเมื่อ 12
ตุลาคม 2562. จาก https://www.dailynews.co.th/regional/357124.
มติชน. (2559).
เรื่องหนองคาย บั้งไฟพญานาคเกิดน้อย ชาวบ้านเชื่อร่วมไว้อาลัย. สืบค้นเมื่อ 20 ตุลาคม 2562. จาก https://www.matichon.co.th/local/news_324318.
ผู้จัดการออนไลน์. (2556). พิสูจน์ปรากฏการณ์
“บั้งไฟพญานาค” กับหลักวิทยาศาสตร์. สืบค้นเมื่อ 3 ตุลาคม 2562. จากhttp://www.rmutphysics.com/sciencenews/index.php?option=com_content&task=view&id=670&Itemid=4.
Voicetv. (2555). ไขปริศนา
บั้งไฟพญานาค. สืบค้นเมื่อ 3 ตุลาคม 2562. จากhttps://www.voicetv.co.th/read/55490.
วิดีโอ
รายการบางอ้อ. (2556).ตามรอยพญานาคลุ่มน้ำโขง. สืบค้นเมื่อ 10 ตุลาคม 2562. จาก https://www.youtube.com/watch?v=EtmQbnTDvYk
เรื่องจริงผ่านจอ. (2560).
ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค ปี 60. สืบค้นเมื่อ
10 ตุลาคม 2562. จาก https://www.youtube.com/watch?v=DoHHIiGRq18
สุรสีห์ ผาธรรม. (2557).
มหรรศจรรย์ลุ่มน้ำโขง หนองคาย.
สืบค้นเมื่อ 10 ตุลาคม 2562. จาก https://www.youtube.com/watch?v=eusB7Oac25Q
สํานักข่าวไทย TNAMCOT. (2560). ข่าวดังข้ามเวลา : ประกายค้างฟ้า..บั้งไฟพญานาค. สืบค้นเมื่อ 10 ตุลาคม 2562. จาก https://www.youtube.com/watch?v=sQ3plF2Se8c
DoYang. (2559). บั้งไฟพญานาค
และตำนานสัญญาพญานาค. สืบค้นเมื่อ 10 ตุลาคม 2562. จากhttps://www.youtube.com/watch?v=E0TNcVCeihQ