Friday, August 14, 2020

การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตจากยุคหินเก่า ยุคหินใหม่ จนเข้าสู่ความเป็นอารยธรรม

 



                สวัสดีค่ะ กลับมาอีกครั้งกับการเรียนรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ของมนุษย์เรากันค่ะ วันนี้ฝนก็มีสาระน่ารู้เกี่ยวกับอารยธรรมของมนุษย์ ที่เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ยุคหินเก่า และยุคหินใหม่ จนเข้าสู่การเป็นอารยธรรมมานำเสนอให้ทุกคนได้รู้กัน ซึ่งก่อนจะไปเรียนรู้กัน ทุกคนทราบกันไหมคะว่า "อารยธรรม" มีความหมายว่าอย่างไร ถ้าทราบแล้วมาดูกันดีกว่าค่ะว่าจะมีความหมายเช่นเดียวกับฝนหรือไม่ หรือถ้าใครยังไม่ทราบความหมาย ความเป็นมาของอารยธรรม เราไปดูพร้อมกันเลยค่ะ Let's go!


                อารยธรรมหมายถึงอะไร ?

                ในที่นี้ฝนจะขออธิบายตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตจากยุคหินเก่า ยุคหินใหม่ จนเข้าสู่ความเป็นอารยธรรม ตามลำดับ เพื่อให้ทุกคนทราบและเข้าใจถึงความเป็นมาของอารยธรรมได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ดังต่อไปนี้

 ยุคหินเก่า (Paleolisthic Era)



                ยุคนี้อยู่ในช่วง 2.5 ล้าน - 1 หมื่นปีมาแล้ว ผู้คนในยุคหินเก่านี้จะมีวิถีชีวิตที่เร่ร่อน อาศัยตามเขา เพิงผา และถ้ำ มีการล่าสัตว์หาของป่าในการประทังชีวิต มีการใช้เครื่องมือหินและกระดูกสัตว์ มีการใช้ไฟ เริ่มมีพัฒนาการทางด้านภาษา มีการวาดภาพบนผนังถ้ำและสร้างสรรค์ประติมากรรมขนาดเล็ก รู้จักการเผาศพ มีความเชื่อเรื่องผีและชีวิตหลังความตาย


ยุคหินใหม่ (Neolisthic Era)


                ยุคนี้อยู่ในช่วง 1 หมื่น - 4,000 ปีมาแล้ว ยุคหินใหม่เป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตของมนุษย์ครั้งสำคัญ เพราะมีการปฏิวัติเกษตรกรรม ผู้คนเริ่มทำการเกษตร เลี้ยงสัตว์ กินอาหารหลากหลายขึ้น ทั้งที่ได้จากการเกษตรและสัตว์ต่าง ๆ ตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง มีการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องมือเครื่องใช้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น มีการปั้นหม้อดินเผา ครก สาก รู้จักประดิษฐ์เสื้อผ้าจากการทอขนสัตว์และฝ้ายธรรมชาติ และมีการใช้โลหะ ทองแดง และดีบุก ทำให้มีการติดต่อซื้อขายทำให้คนในสังคมมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น เริ่มอยู่กันเป็นสังคม มีการตั้งถิ่นฐานเป็นหมู่บ้านซึ่งผู้ที่เป็นญาติกันจะอยู่ระแวกใกล้เคียงกันทั้งหมด

อารยธรรมเริ่มต้นของมนุษย์ (The first civilization)

                 ยุคนี้อยู่ในช่วง 3,000 ปีมาแล้ว จากหมู่บ้านเกษตรกรรมกลายเป็นสังคมเมือง โดยเมืองในยุคแรก ๆ จะมีลักษณะหลากหลายขึ้นทั้งในเรื่องของการพัฒนาแหล่งน้ำ นั่นคือ การทำชลประทาน เพื่อให้การทำเกษตรกรรมสะดวกมากขึ้น สามารถที่จะทำการเกษตรในพื้นที่ห่างไกลขาดแคลนแหล่งน้ำได้ ทำให้มีผลผลิตเยอะขึ้น นำมาสู่การค้าขายที่ต้องการแรงงานเพิ่ม ผู้คนจึงเกิดการแบ่งหน้าที่เกิดเป็นอาชีพ คนจึงมีความหลากหลายขึ้นในพื้นที่ จนเกิดการแบ่งชนชั้นได้แก่

1.ชนชั้นผู้นำ, ขุนนาง,นักรบ, นักบวช

2.พ่อค้า

3.ช่างฝีมือ, ชาวนา

4.ทาส (ชนชั้นต่ำที่สุด)

การตั้งถิ่นฐานเป็นลักษณะชุมชนที่ไม่ใช่เครือญาติอยู่ร่วมกัน มีศูนย์กลางชุมชน เช่น วัด หรือ ตลาด และมีการแบ่งเขตเมืองที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เช่นการมีกำแพง การวางผังแผนที่ มีถนนหนทาง อีกทั้งยังมีการพัฒนาด้านภาษา คือ การมีภาษาเขียน และนอกจากนี้ยังมีศาสนาที่นับถือกันเป็นรูปธรรมหรือเป็นทางการมากขึ้น โดยอารยธรรมเริ่มแรกเกิดขึ้นอย่างอิสระแถบลุ่มแม่น้ำที่ซึ่งมีอาหารเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของมนุษย์ ได้แก่

            อารยธรรมอียิปต์ อยู่ที่แม่น้ำไนล์

            อารยธรรมเมโสโปเตเมีย อยู่ที่แม่น้ำไทกริส-ยูเฟรติส

            อารยธรรมอินเดีย อยู่ที่แม่น้ำสินธุ

            อารยธรรมจีน อยู่ที่แม่น้ำหวงโห


            จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่ามนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งทางด้านวิถีชีวิต ด้านภาษา ด้านศิลปะ ด้านความเชื่อ และด้านเทคโนโลยี ซึ่งรวมกันอยู่ในสังคมจากหมู่บ้านกลายมาเป็นสังคมเมืองที่มีผู้คนหลากหลาย ที่มีวัฒนธรรมร่วมกัน โดยวัฒนธรรมด้านต่าง ๆ ทั้งหมดนี้เองรวมกันเรียกว่า "อารยธรรม" ซึ่งอารยธรรมที่เกิดขึ้นมานั้นไม่ได้อยู่ยืนยาวเสมอไป หากวัฒนธรรมไหนที่เข้มแข็งก็สามารถกลืนกินวัฒนธรรมที่อ่อนแอกว่าได้ ยกตัวอย่างเช่น การแต่งตัวของตะวันตกที่มีอิทธิพลเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากวัฒนธรรมการแต่งตัวเดิมมีผู้คนในสังคมไม่ยอมรับ อยากรับวัฒนธรรมใหม่ ๆ ก็อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้นั่นเอง



            เป็นยังไงกันบ้างคะ ได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับอารยธรรมของมนุษย์กันมา ถือได้ว่าชีวิตมนุษย์เรานั้นมีความซับซ้อนและพร้อมเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอจริง ๆ ซึ่งในวันนี้ฝนก็หวังว่าสาระน่ารู้ที่นำมาฝากทุกคนจะสามารถสร้างเสริมความรู้ให้แก่ทุกได้ไม่มากก็น้อยค่ะ และครั้งหน้าฝนจะมีเรื่องอะไรมานำเสนออีก ฝากติดตามกันด้วยนะคะ 


No comments:

Post a Comment