Wednesday, November 13, 2019

การทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาค ตีพิมพ์เผยแพร่ตั้งแต่ปี พ.ศ.2535-2562(ปัจจุบัน)


"มหาประตูสู่อินโดจีน ถิ่นวีรกรรมปราบฮ่อ หลวงพ่อพระใส บั้งไฟพระยานาคราช 
สะพาน 2 ชาติ ไทยลาว ฝั่งโขงยาวที่สุดในสยาม"

จากคำขวัญจังหวัดหนองคายข้างต้น พอจะเดาออกกันออกหรือยังคะว่าบทความนี้กำลังจะกล่าวถึงอะไร ใช่แล้วค่ะ จะเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจาก "ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค" ที่เป็นความเชื่อดั้งเดิมของชาว 2 ฝั่งโขงนั่นเองค่ะ

ที่มา:https://www.phonphisainongkhai.com/1318

                โดยปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคถือได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณลุ่มน้ำโขงมีผู้คนนับถือและให้ความสนใจเป็นจำนวนมากทั้งผู้คนในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนในภาคอีสานของไทยเราและประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศลาวที่มีความใกล้ชิดเปรียบเสมือนพี่น้องจึงทำให้บริเวณสองฝั่งโขงระหว่างไทยลาวนี้มีความเชื่อที่แทบจะเหมือนกันทุกประการ ทั้งวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตความเป็นอยู่ หรือแม้แต่ภาษามีความคล้ายกัน รวมถึงความเชื่อเรื่อง “ปรากฏการณ์พญานาค” นี้อีกด้วย


ที่มา:https://www.chillpainai.com/scoop/5799/

                การศึกษาครั้งนี้จัดทำขึ้นเพื่อสำรวจความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวเกี่ยวกับปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ตั้งแต่ปี พ.ศ.2535-2562 โดยทำการศึกษาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิทยานิพนธ์ งานวิจัย หนังสือ บทความ เว็บไซต์ หรือคลิปสารคดี โดยศึกษาและวิเคราะห์ผ่านข้อมูลเอกสาร ทั้งในเรื่องของลักษณะของการเกิดปรากฏการณ์ ความเชื่อ ประเพณีวัฒนธรรมของชาวอีสานของไทยและประเทศลาวซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงมุมมองทางวิทยาศาสตร์ต่อปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค จำนวน 28 เรื่อง โดยแบ่งเป็น 2 ช่วง และในแต่ละช่วงก็แบ่งออกเป็น 3 ประเด็น ซึ่งสรุปแต่ละช่วงได้ดังนี้

1.ช่วงแรก ตั้งแต่ปี พ.ศ.2535-2550

ประเด็นด้านประวัติศาสตร์

                         จากการศึกษาจากงานเขียนทั้งหมด 8 เรื่อง เป็นหนังสือ 3 เรื่อง วารสาร 3 เรื่อง และวิทยานิพนธ์ 2 เรื่อง พบว่าประวัติศาสตร์เกี่ยวกับปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคนั้นเกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน มีทั้งตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน ที่มีความเชื่อเกี่ยวกับพญานาค และเชื่อกันว่าปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคที่เกิดขึ้นมานั้น เป็นเพราะพญานาคที่อยู่ใต้บาดาลของลุ่มน้ำโขง โดยชาวบ้านสมัยก่อนเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “บั้งไฟผี” ตามลักษณะของลูกไฟที่พุ่งขึ้นมาด้วยความเร็ว โดยคำว่าผีนั้นเรียกตามลักษณะที่ปรากฏคือ ไม่สามารถสังเกตได้และลึกลับเหนือธรรมชาติ แต่ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นบั้งไฟพญานาค เพราะคำว่า “ผี” ไม่เป็นสิริมงคล นอกจากนี้ชาวหนองคายยังมีเรื่องราวตำนานที่เชื่อกันมาว่าตนเป็นหลานพญานาคหรือสืบทอดเผ่าพันธุ์มาจากพญานาคใต้บาดาล และยังมีความเชื่อว่าพุทธศาสนากับนาคหรือพญานาคนั้น มีความสนิทชิดเชื้อกันมากเท่าที่ปรากฏนาคที่พบในพุทธศาสนาเป็น งูใหญ่เป็นสัตว์เดียรฉาน แต่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเหมือนมนุษย์ เป็นสัตว์มีฤทธิ์มีพลัง บางครั้งแปลงกายเป็นสัตว์อื่นหรือแม้แต่เป็นคนก็ได้ จึงมักจะปรากฏเป็นผู้คุ้มครองดูแลพุทธศาสนาอยู่เป็นประจํา ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคที่พบเห็นจึงเกิดมาจากพญานาคจุดขึ้นเพื่อถวายพระพุทธเจ้า ในวันออกพรรษาหรือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 นั่นเอง

ประเด็นด้านวิทยาศาสตร์
                     จากการศึกษางานเขียนทั้งหมด 2 เรื่อง เป็นงานวิจัย 1 เรื่อง และวารสาร 1 เรื่อง พบว่ามีการกล่าวถึงปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคในแง่ของการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ โดยในเรื่องการศึกษาปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคที่หนองคาย ของนายแพทย์มนัส ในปี พ.ศ.2539 มีการค้นพบทฤษฎีว่าแท้จริงแล้วปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคเกิดจากการทับถมกันของซากใต้ลุ่มน้ำโขงทำให้เกิดแก๊สมีเทนพุ่งขึ้นมาทำปฏิกิริยากับออกซิเจนบนอากาศทำให้เกิดเป็นลูกไฟขึ้น แต่ก็เกิดขึ้นโต้แย้งขึ้นในปีเดียวกันว่าการเกิดบั้งไฟพญานาคนี้หาใช่เป็นปรากฏการณ์โดยธรรมชาติแต่ประการใด แต่เป็นการกระทําของมนุษย์ที่จัดสร้างขึ้น โดยมีหลักฐานประกอบ และกล่าวว่าสําหรับบั้งไฟที่เกิดขึ้นนั้น หากจุดขึ้นในบริเวณบนพื้นดิน คงไม่มีปัญหาเพราะอยู่ไกลและมืดมองไม่เห็นอะไร แต่ถ้าหากจะจุดบั้งไฟให้พุ่งขึ้นโดยจุดที่เกิดนั้นอยู่ห่างจากผู้จุดหรือแม้กระทั่งจุดบนฝั่งแล้วให้ไปปะทุขึ้นในแม่น้ำได้ ซึ่งเป็นลักษณะบั้งไฟที่เรียกว่า “บั้งไฟลูกหน” นั่นเอง แต่อย่างไรก็ตาม ทฤษฎี และข้อโต้แย้ง ดังกล่าว ก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้อย่างชัดเจน

ประเด็นด้านการท่องเที่ยว
                           จากการศึกษาจากงานเขียนในด้านการท่องเที่ยว 2 เรื่อง เป็นงานหนังสือ 1 เรื่อง และงานวิจัย 1 เรื่อง  ทำให้ทราบว่าในช่วงนั้น บั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นในคืนวันที่ 15 ค่ำ กับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ขนาดของลูกไฟใหญ่เท่ากับ ไข่ไก่, เท่าลูกหมาก หรือเท่าหัวแม่มือ เวลาเกิด ของลูกไฟนั้นไม่แน่นอนบางปีก็เริ่มตั้งแต่หัวค่ำ บางปีก็เริ่มแต่ 2-3 ทุ่ม สถานที่เกิดบางครั้งก็อยู่ใกล้ บางครั้งก็อยู่ไกล จากฝั่งแม่น้ำเป็นเวลานาน 3-4 ชั่วโมง บางจุดมีมากมีน้อยต่างกันคือ ตั้งแต่ 50-100 ลูก สูงประมาณ 20-30 เมตร ที่อําเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย และบ้านน้ำเป โดยลักษณะของลูกไฟนั้นมีสีแดงอมชมพู พุ่งขึ้นผิวน้ำทําให้เกิดแรงสว่างไสวเหนือลําแม่น้ำโขง มีผู้คนให้ความสนใจเดินทางมาดูปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคเป็นจำนวนมาก จึงมีการศึกษาการจัดการพื้นที่บริเวณจังหวัดหนองคาย ที่ทำให้ในช่วงเทศกาลนี้ผู้คนบริเวณลุ่มน้ำโขงนี้มีสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างมหาศาล แม้ว่าหลังจบงานนั้นจะทำให้เกิดขยะซึ่งเป็นมลภาวะต่อคนในพื้นที่ก็ตาม ทุกคนก็พร้อมต้อนรับแขกผู้มาเยือนบ้านของตนเสมอ แต่ในความเห็นของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาดูปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคยังมีความไม่พอใจกับการจัดงานของพื้นที่ลุ่มน้ำโขงของจังหวัดหนองคายมากนัก คนในพื้นที่ต้องปรับปรุงและแก้ไขจัดระเบียบพื้นที่ให้ดีขึ้นต่อไป



2.ช่วงหลัง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2551-2562 (ปัจจุบัน)

ประเด็นด้านประวัติศาสตร์
                       จากการศึกษาทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคในช่วงปี พ.ศ.2551-2562 พบงานเขียนทั้งหมด 3 เรื่อง เป็นวิทยานิพนธ์ 1 เรื่อง วารสาร 1 เรื่อง และงานเขียนบนเว็บไซต์ 1 เรื่อง พบว่างานเขียนส่วนใหญ่ยังคงเขียนถึงความเชื่อเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคว่ามีความผูกพันกับชีวิตของคนอีสานตั้งแต่เกิด เกี่ยวข้องกับชีวิตตลอดเวลา ซึ่งมีข้อมูลอ้างอิงมาจากหนังสือเรื่องบั้งไฟพญานาค จังหวัดหนองคาย นั่นเอง อีกทั้งยังกล่าวเสริมว่า เป็นอํานาจเหนือธรรมชาติซึ่งมีพญานาคเป็นตัวแทน จึงเป็นพื้นฐานสําคัญของวิถีชีวิตของชาวอีสานมาตั้งแต่ครั้งอดีต พญานาคทําให้ชาวอีสานดํารงชีวิตอยู่ในสังคมเดียวกันด้วยความราบรื่น สงบสุข โดยไม่ต้องมีกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร และยังมีการกล่าวว่าบั้งไฟพญานาคเป็นประเพณีที่อยู่ใน ฮีต 11 ของชาวอีสาน ที่เกิดขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 อีกด้วย

ประเด็นด้านวิทยาศาสตร์

                      จากที่กล่าวไปข้างต้นเป็นการศึกษางานเขียนเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคด้านวิทยาศาสตร์ในช่วงปี พ.ศ. 2551-2562 พบงานเขียนจากเว็บไซต์ทั้งหมด 2 เรื่อง โดยจากการศึกษางานเขียนดังกล่าวมีการยืนยันจากภาพถ่ายและข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์ว่า ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคนั้น เกิดจากการยิงปืนอาร์กาและปืนคาร์บิน ซึ่งเป็นกิจกรรมเฉลิมฉลองเทศกาลออกพรรษาของชาวลาวที่ทำกันมายาวนาน ไม่ใช่ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติแต่อย่างใด และงานเขียนถัดมากล่าวว่าบั้งไฟพญานาค คือ ก๊าซมีเทน-ไนโตรเจน ที่เกิดจากการอาศัยอยู่ร่วมกันระหว่างแบคทีเรียที่ทนต่อออกซิเจนได้ ณ ความลึกของแม่น้ำโขงและแหล่งน้ำข้างเคียง 4.55 -13.40 เมตร ตำแหน่งที่มีสารอินทรีย์พอเหมาะใต้ผิวโคลน หรือทรายท้องแม่น้ำโขง ซึ่งระดับน้ำขนาดนี้จะมีอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส ทั้งนี้ในวันที่เกิดปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค คือวันที่แสงแดดส่องลงมาในช่วงเวลาประมาณ 10,13 และ16 นาฬิกา มีอุณหภูมิมากกว่า 26 องศาเซลเซียสทำให้มีความร้อนมากพอที่จะย่อยสลายอินทรีย์ และจะมีก๊าซมีเทนจากการหมักมากว่า 3-4 ชั่วโมง ซึ่งมากที่จะก่อให้เกิดความดันก๊าชในผิวทรายทำให้ก๊าซจะหลุดออกมาและพุ่งขึ้นเมื่อโผล่พ้นน้ำนั่นเอง

ประเด็นด้านการท่องเที่ยว
                         จากที่กล่าวไปข้างต้นเป็นการศึกษางานเขียนเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคด้านวิทยาศาสตร์ในช่วงปี พ.ศ. 2551-2562 ประกอบด้วยงานเขียนทั้งหมด 6 เรื่อง เป็นบทความจากเว็บไซต์ 6 เรื่อง และวารสาร 2 เรื่อง พบว่าข้อมูลส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการรับชมบั้งไฟพญานาค ตามจุดต่างๆในจังหวัดหนองคาย และมีการกล่าวถึงจำนวนการผุดขึ้นมาของปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคทุกปี นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับการจัดระเบียบในพื้นที่ท่องเที่ยว และมีงานศึกษาศักยภาพลักษณะทางด้านวัฒนธรรมของชุมชนลุ่มน้ำโขง จังหวัดหนองคาย ซึ่งพบว่าผู้คนมีความเห็นว่าวัดโพธิ์ชัยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพมากที่สุด ส่วนวัฒนธรรมประเพณีมีความเห็นว่าเทศกาลบั้งไฟพญานาคมีศักยภาพมากที่สุดอีกด้วย


สรุปและข้อเสนอแนะ

                  จากการทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535-2562(ปัจจุบัน) ได้พบงานเขียนทั้งหมด และวิดีโอรวมทั้งหมด 28 เรื่อง โดยสามารถสรุปได้เป็นประเด็นได้ดังนี้


ประเด็นด้านประวัติศาสตร์ 

ที่มา:http://www.amazingthaitour.com


                  โดยช่วงแรก (ปี พ.ศ. 2535-2550) ผู้จัดทำสามารถค้นพบงานเขียนในหมวดประวัติศาสตร์ทั้งหมด 8 เรื่อง แต่ในช่วงหลัง (ปี พ.ศ. 2551-2562) ผู้จัดทำสามารถค้นพบงานเขียนในหมวดประวัติศาสตร์ได้เพียง 3 เรื่อง ซึ่งจากการศึกษาข้อมูล ทำให้ค้นพบว่ามีการอ้างอิงงานเขียนของจากหนังสือสื่อธรรมบรรณาธิการ เรื่องบั้งไฟพญานาค จังหวัดหนองคาย ในปี พ.ศ. 2539 ซึ่งจากการทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคทำให้ทราบถึงความเป็นมาของปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคว่าเป็นลูกไฟประหลาด หรือที่เรียกกันว่าบั้งไฟพญานาค เกิดขึ้นบริเวณแม่น้ำโขงทางหนองคายของฝั่งไทย และเกิดบริเวณแม่น้ำโขงฝั่งลาวด้วย ซึ่งมีการเล่าสืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนานว่าเป็นลูกไฟที่พญานาคจุดขึ้นมาเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าในวันออกพรรษา เป็นปรากฏการณที่เกิดขึ้นปีละ 1 ครั้ง โดยชาวบ้านสมัยก่อนเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “บั้งไฟผี” ตามลักษณะของลูกไฟที่พุ่งขึ้นมาด้วยความเร็ว โดยคำว่าผีนั้นเรียกตามลักษณะที่ปรากฏคือ ไม่สามารถสังเกตได้และลึกลับเหนือธรรมชาติ แต่ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็น “บั้งไฟพญานาค” เพราะคำว่า “ผี” ไม่เป็นสิริมงคล ปรากฏการณ์นี้ได้รับความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก ไม่มีผู้ใดสามารถตอบได้ว่าลูกไฟสีแดงอมชมพู ขนาดเท่าไข่ไก่ ที่พุ่งขึ้นไปบนฟ้าแล้วหายไปนี้เกิดจากอะไรกันแน่

ประเด็นด้านวิทยาศาสตร์
ที่มา:https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_52024

                 โดยช่วงแรก (ปี พ.ศ. 2535-2550) ผู้จัดทำสามารถค้นพบงานเขียนในหมวดวิทยาศาสตร์ทั้งหมด 2 เรื่อง แต่ในช่วงหลัง (ปี พ.ศ. 2551-2562) ผู้จัดทำสามารถค้นพบงานเขียนในหมวดวิทยาศาสตร์ได้ 2 เรื่อง ซึ่งหลายคนตั้งข้อสงสัยกับปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคนี้กันจำนวนมากว่าเกิดจากอะไร โดยส่วนใหญ่จะอ้างข้อมูลของนายแพทย์มนัส กนกศิลป์ จากงานวิจัยเรื่อง การศึกษาปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคที่หนองคาย ในปี พ.ศ.2538 และจากการศึกษาข้อมูลต่างๆจึงค้นพบว่า มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น บ้างก็ว่าปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคนี้เกิดจากฝีมือมนุษย์ กล่าวคือ เป็นฝีมือทหารบ้านของฝั่งลาว ยิงกระสุนส่องวิถี ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับชาวบ้านบริเวณนั้นที่มีความเชื่อในเรื่องพญานาค บ้างก็ว่าปรากฏการณ์นี้เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ดังเช่น ทฤษฎีของนายแพทย์มนัส กนกศิลป์ ซึ่งเกิดจากการหมักหมมใต้ผิวน้ำ และเกิดฟองก๊าซมีเทนและบรรยากาศแยกกันคนละส่วนเกิดปฏิกิริยาที่ผิวสัมผัสกับฟองก๊าซลุกติดไฟเกิดเป็นบั้งไฟพญานาคนั่นเอง ซึ่งต่อมาก็มีทฤษฎีโต้แย้งทฤษฎีดังกล่าว ว่าก๊าซมีเทนเมื่อลุกเป็นไฟแล้วขึ้นมาเหนือน้ำจะมีเสียงดัง แต่บั้งไฟพญานาคที่พบนั้นขึ้นโดยที่ไม่มีเสียงใดเลย จากข้อมูลดังกล่าวจึงทำให้ไม่สามารถสรุปได้ว่าแท้จริงแล้วบั้งไฟพญานาคนี้เกิดจากอะไรกันแน่ แต่งานเขียนในปัจจุบันมีความเชื่อว่าเป็นการกระทำของมนุษย์จากฝั่งลาว มากกว่าเกิดจากพญานาค

ประเด็นด้านการท่องเที่ยว
ที่มา:http://news.trueid.net/detail/30818
                   โดยช่วงแรก (ปี พ.ศ. 2535-2550) ผู้จัดทำสามารถค้นพบงานเขียนในหมวดการท่องเที่ยวทั้งหมด 2 เรื่อง แต่ในช่วงหลัง (ปี พ.ศ. 2551-2562) ผู้จัดทำสามารถค้นพบงานเขียนในหมวดการท่องเที่ยวได้ 6 เรื่อง และยังได้ศึกษาจากคลิปสารคดีอีก 5 เรื่อง ซึ่งจากข้อมูลที่ได้ศึกษา ค้นพบว่ามีผู้คนให้ความสนใจเกี่ยวกับปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคจำนวนมาก เห็นได้จากวันออกพรรษา วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาที่ริมฝั่งแม่น้ำโขง โดยเฉพาะจังหวัดหนองคาย อำเภอโพนพิสัยจำนวนมาก ซึ่งทำให้เศรษฐกิจของผู้คนบริเวณลุ่มน้ำโขงดีขึ้นมากสุดในรอบปี ผู้คนบริเวณนี้ต่างมีความสุข และยินดีที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวนมาก แม้ว่าหลังจากจบเทศกาลจะทำให้ชุมชนระแวกนี้เต็มไปด้วยขยะ เศษซากสิ่งของที่นักท่องเที่ยวนำมาทิ้งไว้ และในแต่ละปีเกิดปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคผุดขึ้นจากน้ำจำนวนมากกว่า 800 ลูก แต่ในปี พ.ศ. 2558 เกิดขึ้นน้อย เกิดเพียง  536 ลูก ซึ่งนักท่องเที่ยวและคนบริเวณลุ่มน้ำโขงของประเทศไทยเชื่อว่าพญานาคร่วมไว้อาลัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เช่นเดียวกับประเทศไทยทั่วประเทศ จึงงดการรื่นเริง เป็นสาเหตุที่ทำให้บั้งไฟพญานาคปีนี้เกิดขึ้นน้อยนั่นเอง และในปีต่อมาก็เกิดบั้งไฟพญานาคขึ้นมากมายตามปกติ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยวที่มาชมจำนวนมาก นอกจากนี้ส่วนคลิปวิดีโอยังอธิบายถึงความเป็นมาและความเชื่อเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคโดยอ้างงานเขียนจากหนังสือบั้งไฟพญานาคจังหวัดหนองคาย ในปี พ.ศ. 2538 และมีการสัมภาษณ์นายแพทย์มนัส กนกศิลป์ ซึ่งได้กล่าวทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับบั้งไฟพญานาคจากงานวิจัยของตนที่เขียนไว้ในปีพ.ศ.2538 อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าปรากฏการณบั้งไฟพญานาคจะเกิดขึ้นจากอะไร ปรากฏการณ์นี้ก็ทำให้สภาพความเป็นอยู่ และเศรษฐกิจของจังหวัดหนองคายเติบโตขึ้นอย่างมหาศาล

                   จากที่กล่าวมาข้างต้น เป็นการศึกษาที่มุ่งเน้นศึกษาทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับความเป็นมาและการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค ในด้านประวัติศาสตร์ ด้านวิทยาศาสตร์ และด้านการท่องเที่ยว เพียงเท่านั้น การศึกษาครั้งนี้ยังขาดการศึกษาทางด้านประเพณีวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค เช่น ประเพณีบุญบั้งไฟ ตำนานพระยาแถน ประเพณีการไหลเรือไฟในวันออกพรรษา ตัวพญานาค  หรืออื่นๆที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อของพญานาค ซึ่งต้องศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อที่จะเข้าใจบริบทปรากฏการณ์ดังกล่าวมากยิ่งขึ้น และยังคงต้องศึกษาและหาข้อพิสูจน์ในปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ต่อไป


บรรณานุกรม




หนังสือ
ภราดร รัตนกุล. (2539).  บั้งไฟพญานาค. พิมพ์ครั้งที่ 1 กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ธีรกิจ (ประเทศไทย) จำกัด.
สื่อธรรมบรรณาธิการ. (2538). บั้งไฟพญานาค จังหวัดหนองคาย. พิมพ์ครั้งที่ 1 กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์น้ำฝน.
สุจิตต์ วงษ์เทศ. นาคในประวัติศาสตร์อุษาคเนย์. พิมพ์ครั้งที่ 2 กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน.
หนังสือฐานสโมนุสรณ์.พญานาคกับหลวงปู่ชอบ. พิมพ์ครั้งที่ 1 กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน.
งานวิจัย
สุธาสินี นาคเสน. (2549). การศึกษาสภาพแวดล้อมและการจัดการเทศกาลบั้งไฟพญานาคของอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย. งานวิจัย มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม.
นายแพทย์มนัส กนกศิลป์. (2538). การศึกษาปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคที่หนองคาย. งานวิจัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วิทยานิพนธ์
จิตรกร เอมพันธ์. (2545). พญานาคเจ้าแห่งแม่น้ำโขงพิธีกรรมกับระบบความเชื่อพื้นบ้านแห่งวัฒนธรรมอีสาน. 
ลลนา ศักดิ์ชูวงษ์. (2548). การให้ความหมายและเหตุผลการดำรงอยู่ของประเพณีบั้งไฟพญานาคในยุคโลกาภิวัฒน์. วิทยานิพนธ์ปริญญานิเทศศาสตร์มหาบัญฑิต สาขาวิชานิเทศศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์.
อนัญญา ปานจีน. (2553) .การศึกษา คติ ความเชื่อเรื่องพญานาคในพื้นที่อีสานตอนบน เพื่อเสนอแนวทางสู่การออกแบบสถาปัตยกรรมภายในพิพิธภัณฑ์นาคา, วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปะมหาบัญฑิตสาขาวิชาการออกแบบภายใน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิปากร.
วารสาร
มนตรี บุญเสมอ. (2539).  โต้ทฤษฎีมนัส “บั้งไฟพญานาค” ฝีมือมนุษย์. วารสารศิลปวัฒนธรรม.มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2(4) หน้า 86-93.
รณชัย บุญสอน. (2562). การบริหารจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน  ของชุมชนพื้นที่ลุ่มน้ำโขง จังหวัดหนองคาย. วารสาวิชาการมหาวิทยาลัยปทุมธานี 11(1), หน้า 232-243.
วัฒนพนัธุ์ ครุฑะเสน. (2557). ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค: การสร้างนวัตกรรมเพื่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม จังหวัดหนองคาย นครหลวงเวียงจันทน์ และแขวงบอลิคำไซ. วารสารวิชาการ Veridian E-Journal  7(2) ,หน้า 1611-1626.
วีรยุทธ เลิศพลสถิต. (2559). ความต่างในความเหมือนของพิธีกรรม บูชาพระธาตุสองฝั่งโขง. วารสารศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 8(2) หน้า 22-43
สุรินทร์ มุขศรี.(2538). บันทึกปาฏิหาริย์บั้งไฟพญานาค. วารสารศิลปวัฒนธรรม ธันวาคม 2538,หน้า 47.
อพิสิทธิ์ ธีระจารุวรรณ.(2538). ในความลุ่มลึกของแม่น้ำโขง. วารสารศิลปวัฒนธรรม ธันวาคม 2538,หน้า 26-30.
อุดม บัวศรี. (2538). นาคในมิติทางสังคมวัฒนธรรม. วารสารศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น,หน้า1-5
บทความเว็บไซต์
กระทรวงวัฒนธรรม. (2559). บั้งไฟพญานาค. สืบค้นเมื่อ 10 ตุลาคม 2562 จาก https://www.m-culture.go.th/travel/ewt_news.php?nid=744.
ข่าวสด. (2561).  เรื่องบั้งไฟพญานาค ผุดจากน้ำโขง. สืบค้นเมื่อ 10 ตุลาคม 2562 จาก https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_1732114
ข่าวไทยพีบีเอส. (2560). เรื่อง ไม่ผิดหวัง บั้งไฟพญานาคหนองคายเกิดขึ้นเกือบ 800 ลูก. สืบค้นเมื่อ 10 ตุลาคม 2562 จาก https://news.thaipbs.or.th/content/266699.
เดลินิวส์. (2558). บั้งไฟพญานาคมาตามนัด เย็น-ค่ำขึ้นแล้วกว่า729ลูก. สืบค้นเมื่อ 12 ตุลาคม 2562. จาก https://www.dailynews.co.th/regional/357124.
มติชน. (2559). เรื่องหนองคาย บั้งไฟพญานาคเกิดน้อย ชาวบ้านเชื่อร่วมไว้อาลัย. สืบค้นเมื่อ 20 ตุลาคม 2562. จาก https://www.matichon.co.th/local/news_324318.
ผู้จัดการออนไลน์. (2556). พิสูจน์ปรากฏการณ์ “บั้งไฟพญานาค” กับหลักวิทยาศาสตร์. สืบค้นเมื่อ 3 ตุลาคม 2562. จากhttp://www.rmutphysics.com/sciencenews/index.php?option=com_content&task=view&id=670&Itemid=4.
Voicetv. (2555). ไขปริศนา บั้งไฟพญานาค. สืบค้นเมื่อ 3 ตุลาคม 2562. จากhttps://www.voicetv.co.th/read/55490.
วิดีโอ
รายการบางอ้อ. (2556).ตามรอยพญานาคลุ่มน้ำโขง. สืบค้นเมื่อ 10 ตุลาคม 2562. จาก https://www.youtube.com/watch?v=EtmQbnTDvYk
เรื่องจริงผ่านจอ. (2560). ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค ปี 60. สืบค้นเมื่อ 10 ตุลาคม 2562. จาก https://www.youtube.com/watch?v=DoHHIiGRq18
สุรสีห์ ผาธรรม. (2557). มหรรศจรรย์ลุ่มน้ำโขง หนองคาย. สืบค้นเมื่อ 10 ตุลาคม 2562. จาก https://www.youtube.com/watch?v=eusB7Oac25Q

สํานักข่าวไทย TNAMCOT. (2560). ข่าวดังข้ามเวลา : ประกายค้างฟ้า..บั้งไฟพญานาค. สืบค้นเมื่อ 10 ตุลาคม 2562. จาก https://www.youtube.com/watch?v=sQ3plF2Se8c

DoYang. (2559). บั้งไฟพญานาค และตำนานสัญญาพญานาค. สืบค้นเมื่อ 10 ตุลาคม 2562. จากhttps://www.youtube.com/watch?v=E0TNcVCeihQ