Wednesday, August 26, 2020

มัคคุเทศก์นี้มีชัวร์ไม่มั่วนิ่ม


            สวัสดีค่ะทุกคน เป็นยังไงกันบ้างคะ หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด 19 ผ่านไป ทุกคนได้มีโอกาสไปเที่ยวที่ไหนบ้างหรือยัง ถ้ายังไม่ได้ไปไหนมานั่งอ่านบล็อกของฝน เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวก่อนไปเที่ยวกันดีกว่าค่ะ

            โดยครั้งที่แล้วฝนได้พาทุกคนไปรู้จักอาชีพไกด์ หรือมัคคุเทศก์กันไปแล้ว วันนี้ฝนจึงนำสาระน่ารู้เกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนปฎิบัติงานของมัคคุเทศก์มาฝากทุกคนค่ะ ได้เวลาอันสมควรแล้ว เราไปความพร้อมในการลงพื้นที่พร้อมกันเลยย

การเตรียมตัวของมัคคุเทศก์ก่อนปฏิบัติงาน

            มัคคุเทศก์ไม่ใช่เพียงคนนำพานักท่องเที่ยวไปสถานที่ท่องเที่ยว และอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่รับผิดชอบมากมาย เพื่อให้การท่องเที่ยวดำเนินไปอย่างไม่ติดขัด โดยก่อนจะลงพื้นที่ปฏิบัติงาน มัคคุเทศก์ต้องเตรียมความพร้อม ดังต่อไปนี้




            ขั้นที่ 1  👉ต้องศึกษาหาความรู้ของสถานที่ท่องเที่ยวให้เข้าใจและให้ได้มากที่สุด อัพเดทข้อมูลอยู่สม่ำเสมอ หรือมีการฝึกปฏิบัติเป็นมัคคุเทศก์ในสถานที่จริง อีกทั้งต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีในบริษัททัวร์ของตนเอง ปฏิบัติตามหน้าที่ได้ดีและถูกต้องตามเป้าหมาย พร้อมเป็นมิตรกับเพื่อนร่วมงาน

            ขั้นที่ 2   👉เข้าไปรับแผนปฏิบัติงานเมื่อได้รับมอบหมาย ทำความเข้าใจรายละเอียดให้ถูกต้องครบถ้วน ทั้งวันเวลา สถานที่เที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร เอกสารสำคัญต่าง ๆ รวมถึงเข้าใจในนโยบายบริษัทเมื่อเกิดปัญหา โดยไม่ควรใช้โทรศัพท์ถามงานกับบริษัท เพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความไม่กระตือรือร้นในการทำงาน และอาจทำให้เข้าใจข้อมูลผิดพลาดได้

            ขั้นที่ 3   👉ตรวจสอบเอกสารต่าง ๆ ได้แก่ รายการนำเที่ยว สัญญาซื้อบริการนำเที่ยว สำเนาจดหมายติดต่อธุรกิจ กับสถานประกอบการ และรายชื่อนักท่องเที่ยว เพื่อนำมาจัดที่นั่งบนยานพาหนะที่ใช้เดินทาง และห้องพักให้นักท่องเที่ยว พร้อมทั้งเตรียมอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องปฐมพยาบาล และเครื่องขยายเสียงเผื่อนักท่องเที่ยวไม่ได้ยิน

            ขั้นที่ 4  👉ขั้นสุดท้าย คือการเตรียมตัวเองให้พร้อมกับการทำงาน ควรดูแลสุขภาพ จัดเตรียมเครื่องใช้ เอกสารส่วนตัวของตนเองด้วยเช่นกัน และควรจัดสรรเวลาให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในอนาคต


               จะเห็นได้ว่า กว่าจะเป็นมัคคุเทศก์ได้ ไม่เพียงแต่มีเทคนิคมีวิธีการพูด แต่ต้องเป็นคนที่มีต้องมีความรับผิดชอบสูงในการทำงาน และควรทำงานด้วยใจที่รักในอาชีพมัคคุเทศก์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะทำให้การนำพานักท่องเที่ยวทัวร์พื้นที่ต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีความสุข สนุกทั้งผู้ให้และผู้รับนั่นเองค่ะ

            สำหรับวันนี้ก็ได้เกร็ดความรู้เกี่ยวกับการเตรียมตัวของมัคคุเทศก์ไปกันเป็นที่เรียบร้อย ครั้งหน้าฝนจะนำความรู้เรื่องอะไรมาฝากทุกคนอีกนั้น ฝากติดตามด้วยนะคะ



อ้างอิง

วรัญญ์คมน์ รัตนะมงคลชัย. 2561. งานมัคคุเทศก์. สืบค้นเมื่อ 26 สิงหาคม 2563 จาก https://lms.rmutl.ac.th/tqf/detail/.

วิทยาลัยอินเตอร์ลำปาง. 2561. 5 ข้อ ของการมีคุณลักษณะที่ดีในอาชีพมัคคุเทศก์(ไกด์). สืบค้นเมื่อ 26 สิงหาคม 2563 จาก https://lit.ac.th/2017/19-01/.

แพรว Admissionpremium. 2561. อาชีพมัคคุเทศก์หรือไกด์ ทำหน้าที่อะไร รายได้เท่าไหร่?. สืบค้นเมื่อ 26 สิงหาคม 2563 จากhttps://www.admissionpremium.com/hotel/news/3144?fbclid=IwAR3wOFdskHGB9DtL5CyDya7GajGq9dh0WT_ViZKonYujYXaw97NOC7g_3b4.

TPQI. ม.ป.ป. ปัฏิบัติงานเป็นผู้ช่วยมัคคุเทศก์. สืบค้นเมื่อ 26 สิงหาคม 2563 จาก https://tpqi-net.tpqi.go.th/tpqi_sa/index.php?.





Monday, August 24, 2020

พระราชวังฤดูร้อนเบ๋าได๋ (Bao Dai’s Summer Palace)

 

ที่มา: http://lxyan.com/2019/05/26

                สวัสดีค่ะทุกคน กลับมาพบกันอีกแล้วนะคะ วันนี้ฝนก็นำสถานที่ท่องเที่ยวในเวียดนามใต้ พร้อมกับสาระน่ารู้มาฝากทุกคนกันอีกเช่นเคย ถือเป็นสถานที่ที่มีความหลังที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของเวียดนามเลยก็ว่าได้ ทุกคนพอจะเดาได้ไหมคะว่าคือที่ไหนของเวียดนามใต้ ฝนขอใบ้ให้อีกนิดว่าเป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์เหงียน หลายคนคงจะคิดออกกันแล้วใช่ไหมคะ แต่ถ้าใครยังสงสัย คิดไม่ออก เราไปดูสถานที่แห่งนี้พร้อมกันดีกว่าค่ะ Let's go!!!


พระราชวังฤดูร้อนเบ๋าได๋ (Bao Dai’s Summer Palace) 

ที่มา:http://oknation.nationtv.tv/blog/akom/2009/08/11/entry-1

ประวัติศาสตร์และความเป็นมา

               พระราชวังฤดูร้อนเบ๋าได๋ อยู่ทางเวียดนามใต้ นอกเมืองดาลัดไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 5 กิโลเมตร สร้างโดยจักรพรรดิเบ๋าได๋ในปี พ.ศ. 2476 ถือได้ว่าพระราชวังฤดูร้อนแห่งนี้ เป็น 1 ใน 3 พระราชวังของจักรพรรดิเบ๋าได๋ ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เหงียน แต่ต่อมาถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นที่ทำงานของพรรคคอมมิวนิสต์อยู่ช่วงหนึ่ง เนื่องจากจักรพรรดิเบ๋าได๋สนับสนุนฝ่ายฝรั่งเศสมากเกินไปจนทำให้เกิดความไม่พอใจจนต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ประเทศฝรั่งเศส หลังจากเสร็จสิ้นสงครามจึงเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ในปัจจุบัน

สถาปัตยกรรม

            มีการสร้างด้วยสไตล์การออกแบบในสไตล์อาร์ตเดคโค (Art Deco Style) ตามแบบศิลปะแบบยุโรป โดยได้รับอิทธิพลมาจากฝรั่งเศสนั่นเอง โดยสไตล์นี้มีการใช้สีสันที่สว่างสดใส เส้นสายอ่อนช้อย มีการใช้รูปเหลี่ยมหรือรูปทรงเรขาคณิต ซึ่งมีสไตล์ที่หรูหราสง่างามผสมผสานความทันสมัยของแต่ละยุค โดยพระราชวังฤดูร้อนเบ๋าได๋ก็มีการตกแต่งด้วยสีสันที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเหลือง ฟ้า หรือชมพู ในแต่ละห้อง อีกด้วย  

จักรพรรดิเบ๋าได๋

ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3

บุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้อง

               จักรพรรดิเบ๋าได๋ หรือมีชื่อเรียกว่า เหงียน ฟุก หวิญ ถวิ เป็นบุคคลสำคัญของพระราชวังฤดูร้อนเบ๋าได๋ เพราะพระองค์เป็นผู้สร้างขึ้นมา โดยพระองค์ถือเป็นจักรพรรดิองค์ที่ 13 เป็นองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์เหงียน ราชวงศ์สุท้ายก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองของเวียดนาม พระองค์ทรงเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งอันนัม โดยพระองค์ขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2475 ซึ่งตรงกับในช่วงการปฏิวัติการปกครองของไทย หรือร่วมสมัยกับรัชกาลที่ 7 ของไทยนั่นเอง โดยเป็นช่วงที่ได้รับการสนับสนุนจากฝรั่งเศส เพราะฝรั่งเศสเข้ามาครอบครองแสวงหาผลประโยชน์ในเวียดนาม แต่พอมาถึงช่วงปี พ.ศ.2488 ญี่ปุ่นได้เข้ามาและขับไล่ฝรั่งเศสออกจากดินแดนนี้ และใช้อำนาจการปกครองของจักรพรรดิเบ๋าได๋ และในช่วงนี้นี่เองพระองค์ก็ได้เปลี่ยนชื่อประเทศจากมณฑลอันนัมเป็นประเทศเวียดนาม  

                ตำนานจักรพรรดิเบ๋าได๋

                มีตำนานเล่าว่า นักกอล์ฟทั้งในและต่างประเทศต่างเป็นหนี้บุญคุณจักรพรรดิเบ๋าได๋ผู้สร้างสนามกอล์ฟแห่งแรกที่ดาลัดขึ้นหลังจากสร้างพระราชวังแล้ว ต่อมามีการปรับปรุงและขยายสนามออกไปจนกลายเป็นสนามกอล์ฟ 18 หลุม ที่ได้รับการยกย่องจากนิตยสารกีฬานานาชาติว่าเป็นสนามกอล์ฟระดับแนวหน้าและนักกอล์ฟจากทั่วเอเชียนิยมมาเล่นที่นี่เลยทีเดียว                



ที่มา: https://www.deeryarch.me/destinations/dalat2/

ภายในพระราชวังเบ๋าได๋

               โดยพระราชวังฤดูร้อนเบ๋าได๋แห่งนี้อยู่ในส่วนที่เรียกว่า Dinh 3 เป็นจุดที่ได้รับความความสนใจและมีผู้คนเข้าชมมากที่สุด ภายในตัวอาคารของพระราชวังฤดูร้อนเบ๋าได๋มีห้องภาพของพระเจ้าเบ๋าได๋ พระมเหสี พระโอรส พระธิดา มีห้องสำหรับทรงงาน ซึ่งบนโต๊ะสำหรับทรงงานมีโทรศัพท์วางไว้สองเครื่อง โดยอีกเครื่องหนึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะเป็นของเหวียนวันเทียว อดีตประธานาธิบดีของเวียดนามใต้ หลังจากพระเจ้าเบ๋าได๋เสด็จออกจากประเทศเวียดนามเพื่อไปพำนักอยู่ในประเทศฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ.2518 พระราชวังแห่งนี้จึงกลายเป็นที่พำนักของเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งแม้จะผ่านการการบูรณะมาจากรุ่นสู่รุ่นแล้ว แต่ข้าวของใช้ทุกชิ้นยังถูกจัดเก็บเป็นระเบียบ และยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาก โดยส่วนที่เปิดให้ประชาชนเข้ามาเยี่ยมชมได้นั้น ประกอบด้วย บัลลังก์จักรพรรดิ ห้องเครื่องแก้ว ห้องนั่งเล่น ห้องบรรทม ห้องอาหาร และส่วนที่พักของพระมเหสี เป็นต้น

ห้องอาหาร

ที่มา: https://www.packgrapao.com

ห้องโถงชั้น 1 

ที่มา: https://www.packgrapao.com

ห้องนั่งเล่น

ที่มา: http://www.cameralabour.com/uncategorized

ห้องบรรทม

ที่มา: http://oknation.nationtv.tv/blog/akom/2009/08/11/entry-1


กิจกรรมที่น่าสนใจ

            นอกจากจะได้รับชมบรรยากาศของสถานที่แห่งประวัติศาสตร์ของเวียดนามกันแล้ว ที่แห่งนี้ยังมีกิจกรรมให้เราได้เช่าชุดแบบราชวงศ์ของเวียดนามพร้อมถ่ายภาพเป็นที่ระลึกสวย ๆ เก็บไว้อีกด้วย โดยค่าเช่าชุดนั้นอยู่ที่ประมาณ 150,000 ดองเวียดนาม หรือประมาณ 200 บาท

ที่มา: https://www.deeryarch.me/destinations/dalat2/

ข้อปฏิบัติก่อนเข้าชม

            ภายในจะบังคับให้สวมถุงผ้าคลุมรองเท้าก่อนเดินชมภายในอาคาร 

ราคาเข้าชม

            ประมาณ 15,000 ดองเวียดนาม หรือประมาณ 22 บาท แต่เด็กไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

การเดินทาง

           👉 ขึ้นเครื่องบินจากกรุงเทพ >>> ดาลัดเวียดนาม ราคาประมาณ 3,500 บาท (Vietjet Airline)

            👉ส่วนการนั่งรถไปยังพระราชวังฤดูร้อนบ๋าวได๋ สามารถใช้บริการขนส่งทางบกได้ทุกรูปแบบที่มีในเวียดนามใต้ เนื่องจากตัวพระราชวังห่างจากตัวเมืองดาลัดเพียง 5 กิโลเมตรเท่านั้น

            👉แผนที่ไปพระราชวังฤดูร้อนบ๋าวได๋ >>> https://goo.gl/maps/hhzYZ6uJCFC7x7NK7


            เป็นยังไงกันบ้างคะทุกคน ได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระราชวังฤดูร้อนบ๋าวได๋ที่ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเวียดนาม ที่อยู่ฝั่งเวียดนามใต้กันไปแล้ว น่าสนใจมาก ๆ ใช่มั้ยคะ เพราะถือได้ว่าเป็นสถานที่อยู่ของบุคคลสำคัญอย่างจักรพรรดิบ๋าวได๋ องค์ราชวงค์คนสุดท้ายของเวียดนาม ที่เป็นผู้สร้างสถานที่แห่งนี้มา และทำให้รู้สึกย้อนกลับไปถึงสงคราม คอมมิวนิตส์ การเข้ามาของมหาอำนาจอย่างฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ที่ล้วนแล้วผ่านอะไรมามากมายก่อนจะเป็นเวียดนามในปัจจุบันอีกด้วย

            หากใครมีโอกาสได้มาเที่ยวเวียดนาม และอยากเรียนรู้ เห็นถึงประวัติศาสตร์ของเวียดนาม ที่พระราชวังฤดูร้อนบ๋าวได๋ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่น่าสนใจมาก ๆ ค่ะ และสำหรับวันนี้ฝนก็ต้องขอตัวลาทุกคนไปก่อน ครั้งหน้าจะมีอะไรมาให้ทุกคนได้เรียนรู้อีกนั้น ฝากติดตามด้วยนะคะ 😁


อ้างอิง

วิกิพีเดีย. 2563. จักรพรรดิ บ๋าวดั่ยสืบค้นเมื่อ 23 สิงหาคม 2563 จาก https://th.wikipedia.org/wiki/.

อาคม. 2552. ลุยเดี่ยวแบกเป้ ลัดฟ้าสู่ดาลัด : ชมพระราชวังฤดูร้อนของจักรพรรด์องค์สุดท้าย “เบ๋าได๋”สืบค้นเมื่อ 24 สิงหาคม 2563 จาก http://oknation.nationtv.tv/blog/akom/2009/08/11/entry-1.

แพ็คกระเป๋า. 2563. เวียดนามใต้ในวันปีใหม่ ตอนที่ 1 – เต็ดเวียดนาม. สืบค้นเมื่อ 25 สิงหาคม 2563 จาก https://www.packgrapao.com.

Addsiam. ม.ป.ป. พระราชวังฤดูร้อนของจักรพรรดิเบ๋าได่สืบค้นเมื่อ 24 สิงหาคม 2563 จาก http://www.addsiam.com/.

DeeryArch. ม.ป.ป. เที่ยวเวียดนาม ตอนที่6 พระราชวังฤดูร้อนจักรพรรดิเบ๋าได๋ วัดตั๊กลัม ทะเลสาบ Tuyen Lam น้ำตกดาตันลาสืบค้นเมื่อ 24 สิงหาคม 2563 จาก https://www.deeryarch.me/destinations/dalat2/.

Hot golf. 2561. สัมผัส “ดาลัด” สวรรค์ของนักกอล์ฟแห่งใหม่ที่เวียดนาม. สืบค้นเมื่อ 23 สิงหาคม 2563 จาก https://www.hotgolfclub.com/

N. 2559. พระราชวังฤดูร้อนจักรพรรดิบ๋าวได๋ เมืองดาลัด. สืบค้นเมื่อ 25 สิงหาคม 2563 จาก http://unseenvietnam.blogspot.com/2016/03/blog-post_82.html.

Phongthep Rungraksatham. 2562. กาลครั้งหนึ่ง @ ดาลัดสวิสเซอร์แลนด์เวียดนาม(Ep.2)สืบค้นเมื่อ 24 สิงหาคม 2563 จาก http://www.cameralabour.com/uncategorized/.

WHERE TO GO IN VIETNAM. 2559. พระราชวังฤดูร้อน ของจักรพรรดิ์เบ๋าได๋สืบค้นเมื่อ 23 สิงหาคม 2563 จาก https://where2govt.wordpress.com/2016/09/29/.

Wednesday, August 19, 2020

ไกด์ที่ดีเป็นอย่างไร แค่ใส่ใจพอหรือเปล่า?

         

           ภาพถ่ายโดย อาจารย์เวียงคำ ชวนอุดม

             สวัสดีค่ะทุกคน ทุกคนเคยสงสัยไหมคะว่า ไกด์ที่ดีเป็นอย่างไร เพียงแค่ใส่ใจดูแลนักท่องเที่ยวมันพอหรือเปล่า ไกด์หรือมัคคุเทศก์ถือเป็นอาชีพที่เสมือนเป็นเครื่องนำพานักท่องเที่ยวไปยังจุดต่าง ๆ พร้อมกับให้ข้อมูลความรู้ ซึ่งบ่อยครั้งที่ฝนไปเที่ยว ก็จะคอยสังเกตลักษณะท่าทางของไกด์นำเที่ยว ซึ่งแต่ละคนก็มีลักษณะที่แตกต่างกันไป โดยวันนี้ฝนได้มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับการเป็นไกด์ที่ดีกับอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่บางครั้งเรามองข้ามไป วันนี้จึงอยากนำมาเล่าให้ทุกคนฟังกันค่ะ ถ้าพร้อมแล้ว ไปกันเลยยย

"การเป็นไกด์ที่ดีไม่เพียงแต่ใส่ใจ แต่ยังต้องสร้างสิ่งประทับใจไม่มีลืม"

โดยครั้งนี้ฝนจะแบ่งหัวข้อการอธิบายถึงการเป็นไกด์ที่ดี ที่เป็นข้อแนะนำในด้านต่าง ๆ สำหรับสิ่งที่คนเป็นไกด์ควรมี และควรปฏิบัติ โดยแบ่งออกเป็น 3 หัวข้อ ดังต่อไปนี้

                                                                             ภาพถ่ายโดย ฑิตยา ไชยศรีหา

1.กระบวนการดำเนินงานของไกด์

            เมื่อมาถึงสถานที่ไกด์ควรคอยระวังความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยว เนื่องจากบางท่านอาจถ่ายรูปไป เดินไป จนลืมมองทาง และพาไปยังที่ร่ม มีลม พร้อมอธิบายถึงข้อห้ามต่าง ๆ ภายในสถานที่นั้น ๆ เช่นในวัดไทย จะมีการห้ามสวมหมวก ห้ามใส่รองเท้าเข้าอุโบสถ เป็นต้น โดยคอยเตือนเป็นระยะเนื่องจากบางครั้งเมื่อเข้าไปยังสถานที่จริงนักท่องเที่ยวอาจสับสนหรือลืมได้ รวมทั้งควรถามนักท่องเที่ยวว่ามีใครอยากเข้าห้องน้ำหรือไม่ และบอกทางไปห้องน้ำ ให้เวลาประมาณ 10-15 นาที ในการทำธุระส่วนตัว ระหว่างนั้นควรยืนรอที่ตำแหน่งเดิม นอกจากนี้ เมื่ออธิบายสถานที่สุดท้ายจบควรบอกจุดนัดพบหลังจากดูสถานที่เสร็จ ควรนัดในจุดที่นักท่องเที่ยวเคยอยู่ด้วยกัน ไม่ควรชี้ไปยังจุดอื่น เนื่องจากนักท่องเที่ยวอาจเกิดความสับสนและหลงทางได้ 

                                                                        ภาพถ่ายโดย ฑิตยา ไชยศรีหา

2.เนื้อหา

            ในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหา ควรให้ข้อมูลที่สำคัญ สั้น ได้ใจความ เพื่อให้การบรรยายไม่น่าเบื่อเกินไป ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับประเภทของนักท่องเที่ยวด้วยว่าเป็นวัยเด็ก วัยผู้ใหญ่ วัยเกษียณ หรือเคยมาสถานที่นี้หรือยัง ต้องคอยสังเกตปฏิกิริยานักท่องเที่ยวเสมอ ว่ามีความสนใจเกี่ยวกับข้อมูลหรือไม่ เพื่อประเมินว่าควรพูดสั้น หรือยาว หากสนใจอยากรู้ข้อมูลมากขึ้นก็อธิบายในเชิงลึกได้ ทั้งนี้ควรดูเวลาประกอบด้วยเพื่อไม่ให้เวลาการเดินทางคลาดเคลื่อน หากเวลาจำกัดจริง ๆ อาจเลือกอธิบายสั้น ๆ และค่อยไปอธิบายต่อบนรถได้ ถือได้ว่าเป็นการทวนความรู้ และสร้างความสนใจร่วมไปในตัวอีกด้วย

                                                                                ภาพถ่ายโดย ฑิตยา ไชยศรีหา

3.เทคนิค

            การเป็นไกด์ไม่ใช่ใครก็สามารถเป็นได้ แต่ต้องมีความรู้ เทคนิค และประสบการณ์ที่สะสมมา โดยในที่นี้จะให้เทคนิคในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

            3.1 ตำแหน่งการยืน  

            เมื่อมาถึงสถานที่ควรพานักท่องเที่ยวไปยังที่ร่มที่สามารถมองเห็นภาพรวมของสถานที่แห่งนั้นได้ เพื่อให้ไกด์สามารถอธิบายพร้อมชี้จุดต่าง ๆ ให้แก่นักท่องเที่ยว และต่อมาในการยืนอธิบายสิ่งไดก็ตามควรยืนให้ได้องศา 45 องศา หรือหากสิ่งนันมีขนาดใหญ่ควรยืนห่างออกจากสิ่งนั้นเพื่อชี้จุดอธิบาย และในการอธิบายทุกครั้งไกด์ไม่ควรหันไปทางสิ่งที่กำลังนำเสนอ แต่หันไปทางนักท่องเที่ยว เพื่อดูปฏิกิริยาของนักท่องเที่ยว เป็นการประเมินความสนใจของนักท่องเที่ยวนั่นเอง

            3.2 วิธิการเดิน  

            ควรเดินนำนักท่องเที่ยวไปยังจุดต่าง ๆ พร้อมหันกลับมาดูนักท่องเที่ยวเสมอ และหยุดเมื่อถึงทางเลี้ยว เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้หลงทาง ซึ่งถ้าหากสถานที่แห่งนั้นใหญ่ และมีผู้คนจำนวนมาก ไกด์ควรมีสัญลักษณ์เป็นธง หรือตุ๊กตาติดไม้ยาว เพื่อให้นักท่องมองเห็นและเดินตามได้ไม่เกิดความสับสน 

            3.3 วิธีการพูด  

  • พูดด้วยน้ำเสียงน่าฟัง มีการใช้เสียงหนัก เสียงเบา เพื่อให้นักท่องเที่ยวมีอารมณ์ร่วมในการฟัง
  • พูดด้วยความมั่นใจ ควรมีความมั่นใจในการพูด ไม่สะดุด มีความกระตือรือร้น
  • พูดไปยิ้มไป การยิ้มถือเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการเป็นไกด์ ที่ต้องพูดคุยสื่อสารกับผู้อื่น ซึ่งการยิ้มถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีงามให้แก่นักท่องเที่ยว
  • พูดพร้อมภาพประกอบ ในบางจุดของสิ่งที่น่าสนใจในสถานที่นั้น ๆ อาจอยู่ด้านใน ทำให้นักท่องเที่ยวไม่เห็นภาพ การนำภาพมาเพื่อบอกถึงจุดสำคัญของสิ่งต่าง ๆ ถือเป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้นักท่องเที่ยวเข้าใจมากขึ้น
  • พูดพร้อมชี้นำ ในบางครั้งการพูดอย่างเดียวอาจไม่พอ เราอาจใช้มือในการชี้ หรือผายมือไปยังสิ่งนั้น เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าใจได้ง่ายขึ้น
  • มีคำถามตอนท้ายเสมอ ไกด์ควรถามนักท่องเที่ยวเสมอว่า "มีคำถามไหม" เพื่อทดสอบความสนใจ และสร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน
  • พูดอธิบายคำศัพท์เพิ่มเติม เนื่องจากคำศัพท์บางคำนักท่องเที่ยวจะมีความรู้ไม่เหมือนกัน จึงควรมีการอธิบายเพิ่มเติมด้วย
  • พูดไป สบตาไป ในการบรรยายแต่ละครั้งไกด์ควรมีการสบตากับนักท่องเที่ยวเพื่อดูความสนใจ และหากใส่แว่นกันแดด ควรถอดแว่นออกเมื่อพูด เพื่อแสดงถึงมารยาทต่อนักท่องเที่ยว         

                

            จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่า ไกด์ไม่เพียงแค่ใส่ใจนักท่องเที่ยว แต่ควรมีไหวพริบในการประเมินสถานการณ์เพื่อบรรยายเนื้อหา ต้องยิ้มแย้ม มีความมั่นใจ เพื่อสร้างความประทับใจและความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว ซึ่งหากใครทำได้ตามทั้งหมดที่ฝนได้กล่าวไปนี้ ฝนเชื่อว่าในอนาคตคุณก็สามารถประกอบอาชีพไกด์หรือมัคคุเทศก์ได้อย่างมีประสิทธิภาพแน่นอนค่ะ

สำหรับวันนี้ฝนก็ได้นำเนื้อหาสาระเกี่ยวกับการเป็นไกด์ที่ดีมาฝากทุกคนเพียงเท่านี้ ในครั้งหน้าฝนจะนำเรื่องราวอะไรมาฝากทุกคนนั้น ฝากติดตามด้วยนะคะ





Friday, August 14, 2020

การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตจากยุคหินเก่า ยุคหินใหม่ จนเข้าสู่ความเป็นอารยธรรม

 



                สวัสดีค่ะ กลับมาอีกครั้งกับการเรียนรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ของมนุษย์เรากันค่ะ วันนี้ฝนก็มีสาระน่ารู้เกี่ยวกับอารยธรรมของมนุษย์ ที่เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ยุคหินเก่า และยุคหินใหม่ จนเข้าสู่การเป็นอารยธรรมมานำเสนอให้ทุกคนได้รู้กัน ซึ่งก่อนจะไปเรียนรู้กัน ทุกคนทราบกันไหมคะว่า "อารยธรรม" มีความหมายว่าอย่างไร ถ้าทราบแล้วมาดูกันดีกว่าค่ะว่าจะมีความหมายเช่นเดียวกับฝนหรือไม่ หรือถ้าใครยังไม่ทราบความหมาย ความเป็นมาของอารยธรรม เราไปดูพร้อมกันเลยค่ะ Let's go!


                อารยธรรมหมายถึงอะไร ?

                ในที่นี้ฝนจะขออธิบายตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตจากยุคหินเก่า ยุคหินใหม่ จนเข้าสู่ความเป็นอารยธรรม ตามลำดับ เพื่อให้ทุกคนทราบและเข้าใจถึงความเป็นมาของอารยธรรมได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ดังต่อไปนี้

 ยุคหินเก่า (Paleolisthic Era)



                ยุคนี้อยู่ในช่วง 2.5 ล้าน - 1 หมื่นปีมาแล้ว ผู้คนในยุคหินเก่านี้จะมีวิถีชีวิตที่เร่ร่อน อาศัยตามเขา เพิงผา และถ้ำ มีการล่าสัตว์หาของป่าในการประทังชีวิต มีการใช้เครื่องมือหินและกระดูกสัตว์ มีการใช้ไฟ เริ่มมีพัฒนาการทางด้านภาษา มีการวาดภาพบนผนังถ้ำและสร้างสรรค์ประติมากรรมขนาดเล็ก รู้จักการเผาศพ มีความเชื่อเรื่องผีและชีวิตหลังความตาย


ยุคหินใหม่ (Neolisthic Era)


                ยุคนี้อยู่ในช่วง 1 หมื่น - 4,000 ปีมาแล้ว ยุคหินใหม่เป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตของมนุษย์ครั้งสำคัญ เพราะมีการปฏิวัติเกษตรกรรม ผู้คนเริ่มทำการเกษตร เลี้ยงสัตว์ กินอาหารหลากหลายขึ้น ทั้งที่ได้จากการเกษตรและสัตว์ต่าง ๆ ตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง มีการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องมือเครื่องใช้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น มีการปั้นหม้อดินเผา ครก สาก รู้จักประดิษฐ์เสื้อผ้าจากการทอขนสัตว์และฝ้ายธรรมชาติ และมีการใช้โลหะ ทองแดง และดีบุก ทำให้มีการติดต่อซื้อขายทำให้คนในสังคมมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น เริ่มอยู่กันเป็นสังคม มีการตั้งถิ่นฐานเป็นหมู่บ้านซึ่งผู้ที่เป็นญาติกันจะอยู่ระแวกใกล้เคียงกันทั้งหมด

อารยธรรมเริ่มต้นของมนุษย์ (The first civilization)

                 ยุคนี้อยู่ในช่วง 3,000 ปีมาแล้ว จากหมู่บ้านเกษตรกรรมกลายเป็นสังคมเมือง โดยเมืองในยุคแรก ๆ จะมีลักษณะหลากหลายขึ้นทั้งในเรื่องของการพัฒนาแหล่งน้ำ นั่นคือ การทำชลประทาน เพื่อให้การทำเกษตรกรรมสะดวกมากขึ้น สามารถที่จะทำการเกษตรในพื้นที่ห่างไกลขาดแคลนแหล่งน้ำได้ ทำให้มีผลผลิตเยอะขึ้น นำมาสู่การค้าขายที่ต้องการแรงงานเพิ่ม ผู้คนจึงเกิดการแบ่งหน้าที่เกิดเป็นอาชีพ คนจึงมีความหลากหลายขึ้นในพื้นที่ จนเกิดการแบ่งชนชั้นได้แก่

1.ชนชั้นผู้นำ, ขุนนาง,นักรบ, นักบวช

2.พ่อค้า

3.ช่างฝีมือ, ชาวนา

4.ทาส (ชนชั้นต่ำที่สุด)

การตั้งถิ่นฐานเป็นลักษณะชุมชนที่ไม่ใช่เครือญาติอยู่ร่วมกัน มีศูนย์กลางชุมชน เช่น วัด หรือ ตลาด และมีการแบ่งเขตเมืองที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เช่นการมีกำแพง การวางผังแผนที่ มีถนนหนทาง อีกทั้งยังมีการพัฒนาด้านภาษา คือ การมีภาษาเขียน และนอกจากนี้ยังมีศาสนาที่นับถือกันเป็นรูปธรรมหรือเป็นทางการมากขึ้น โดยอารยธรรมเริ่มแรกเกิดขึ้นอย่างอิสระแถบลุ่มแม่น้ำที่ซึ่งมีอาหารเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของมนุษย์ ได้แก่

            อารยธรรมอียิปต์ อยู่ที่แม่น้ำไนล์

            อารยธรรมเมโสโปเตเมีย อยู่ที่แม่น้ำไทกริส-ยูเฟรติส

            อารยธรรมอินเดีย อยู่ที่แม่น้ำสินธุ

            อารยธรรมจีน อยู่ที่แม่น้ำหวงโห


            จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่ามนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งทางด้านวิถีชีวิต ด้านภาษา ด้านศิลปะ ด้านความเชื่อ และด้านเทคโนโลยี ซึ่งรวมกันอยู่ในสังคมจากหมู่บ้านกลายมาเป็นสังคมเมืองที่มีผู้คนหลากหลาย ที่มีวัฒนธรรมร่วมกัน โดยวัฒนธรรมด้านต่าง ๆ ทั้งหมดนี้เองรวมกันเรียกว่า "อารยธรรม" ซึ่งอารยธรรมที่เกิดขึ้นมานั้นไม่ได้อยู่ยืนยาวเสมอไป หากวัฒนธรรมไหนที่เข้มแข็งก็สามารถกลืนกินวัฒนธรรมที่อ่อนแอกว่าได้ ยกตัวอย่างเช่น การแต่งตัวของตะวันตกที่มีอิทธิพลเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากวัฒนธรรมการแต่งตัวเดิมมีผู้คนในสังคมไม่ยอมรับ อยากรับวัฒนธรรมใหม่ ๆ ก็อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้นั่นเอง



            เป็นยังไงกันบ้างคะ ได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับอารยธรรมของมนุษย์กันมา ถือได้ว่าชีวิตมนุษย์เรานั้นมีความซับซ้อนและพร้อมเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอจริง ๆ ซึ่งในวันนี้ฝนก็หวังว่าสาระน่ารู้ที่นำมาฝากทุกคนจะสามารถสร้างเสริมความรู้ให้แก่ทุกได้ไม่มากก็น้อยค่ะ และครั้งหน้าฝนจะมีเรื่องอะไรมานำเสนออีก ฝากติดตามกันด้วยนะคะ 


Thursday, August 6, 2020

วิวัฒนาการของมนุษย์ในเอเชีย และการปรับตัวของมนุษย์ใสยุคหินเก่าและหินใหม่


             สวัสดีค่ะทุกคน เป็นอย่างไรกันบ้างคะ วันนี้เห็นจากภาพด้านบนแล้ว ใช่แล้วค่ะ ฝนมีเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับมนุษย์มาฝาก ซึ่งทุกคนรู้ไหมคะว่ามนุษย์ในภูมิภาคเอเชียของเรามาจากไหน ? สายพันธุ์อะไร ? เหมือนหรือแตกต่างกันหรือไม่ มีการปรับตัว ดำรงชีวิตอยู่ และวิวิฒนาการเป็นมาอย่างไร เรามาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

          มนุษย์เรานั้นมีวิวัฒนาการ พัฒนาการ และการเปลี่ยนแปลงหลากหลายด้าน ทั้งที่อยู่อาศัย เครื่องมือเครื่องใช้ วัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยมนุษย์เรานั้นสามารถแบ่งออกเป็น 4 สายพันธุ์ ที่ถูกค้นพบอยู่ที่ Africa ตามยุคสมัย ดังต่อไปนี้


1.Austraropithecine หรือ เรียกว่า Southern ape (ลิงไม่มีหาง) เกิดขึ้นในแอฟริกาเมื่อ 4-5 ล้านปีมาแล้ว จะมีลักษณะยืนตรง เดิน 2 เท้า มีขนาดสมอง 1ใน 3 เมื่อเทียบกับมนุษย์ปัจจุบัน

2.Homo habilis หรือ เรียกว่า handy man (มนุษย์ใช้มือ) เกิดขึ้นในแอฟริกาเมื่อ 2.4 ล้านปีมาแล้ว มีการใช้เครื่องมือหินสับและตัด ที่เป็นเครื่องมือหยาบๆ มีขนาดสมอง 1ใน 2 เมื่อเทียบกับมนุษย์ปัจจุบัน


3.Homo erectus หรือ เรียกว่า upright man (มนุษย์ยืนตัวตรง) เกิดขึ้นในแอฟริกาเมื่อ 2-1.5 ล้านปีมาแล้ว มีการใช้เครื่องมือหินที่พัฒนาขึ้น มีการกะเทาะหินให้แหลมจับถนัด และเริ่มใช้ไฟ

Homo erectus

4.Homo sapiens หรือ เรียกว่า wise mam (มนุษย์ปัจจุบัน)  เกิดขึ้นในแอฟริกาเมื่อ 2 แสนปีมาแล้ว เป็นมนุษย์ปัจจุบัน ใช้เครื่องมือหลากหลาย มีวิธีการในการจุดไฟ มีภาษาสื่อสาร มีสมองขนาดใหญ่ขึ้น โดยมีขนาดใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ที่กล่าวไปข้างต้น


              โดยมนุษย์เรานั้นเมื่อมีการพัฒนา มีเผ่าพันธ์ุมากขึ้น ก็ได้มีการอพยพไปตามที่ต่าง ๆ ไม่ใช่แค่เพียง Africa ซึ่งในภูมภาคเอเชียของเราก็ได้ค้นพบซากมนุษย์บรรพบุรุษเช่นกัน ได้แก่

1.Peking man (มนุษย์ปักกิ่ง) ค้นพบเมื่อปี ค.ศ.1923 ในถ้ำใกล้ Zhoukoudian ของปักกิ่ง เป็นซากบรรพบุรุษที่อยู่ในจีนช่วง 200,000-750,000 ปีมาแล้ว มีการใช้ไฟ ทำเครื่องมือไม้ อาวุธหอก เป็นมนุษย์ที่ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ เช่น เครื่องมือเจาะต่าง ๆ ที่ค้นพบนั้นไม่มีข้อมูลยืนยัน เพราะช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซากมนุษย์ปักกิ่งได้สูญหาย


2.Java man (มนุษย์ชวา) เป็นซากมนุษย์แรก ๆ ที่ถูกค้นพบเมื่อปี ค.ศ.1891 และ 1892 ที่เกาะชวาของอินโดนีเซีย พบโดย Eugene Dubois ซึ่งได้ขุดพบกะโหลกศีรษะขนาดเล็ก และกระดูกต้นขา แถวแม่น้ำ Solo ทางตะวันออกของชวา


              นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งช่วงเวลาของมนุษย์เป็นยุคหินเก่า และยุคหินใหม่ ที่บ่งบอกถึงพัฒนาการการดำรงชีวิต สภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์ โดยทำการศึกษาจากอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ ซึ่งพบว่า

 1.มนุษย์ยุคหินเก่า จะอาศัยอยู่อย่างเร่ร่อน อาศัยตามเพลิงหิน และถ้ำ เครื่องมือเครื่องใช้แรกทำจากหิน ต่อมาเป็นไม้ และกระดูกสัตว์ เสื้อผ้าจะทำมาจากหนังสัตว์ ที่พักอาศัยจะสร้างโดยผิวของสัตว์ ไม้ หรือกระดูกสัตว์ ดำรงชีวิตโดยการล่าสัตว์หาของป่า ส่วนวัฒนธรรมยุคนี้จะมีภาษา ศิลปะ และศาสนา แต่ศาสนาจะเป็นลักษณะของความเชื่อเรื่องผี และโลกหลังความตาย


2.มนุษย์ยุคหินใหม่ มีการเปลี่ยนจากการอาศัยอยู่แบบเร่ร่อน ล่าสัตว์หาของป่า มาเป็นการสร้างบ้านเป็นหลักแหล่ง เปลี่ยนมาเป็นการทำเกษตรกรรม มีการปลูกพืช เพาะพันธ์พืช เช่น ข้าว ข้าวโพด มันฝรั่ง ถือเป็นช่วงแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม มีกรรมวิธีทำอาหารมากขึ้น มีภาษาใช้ในกลุ่ม มีประเพณี วัฒนธรรมที่ชัดเจนมากขึ้น ดังเห็นได้จากชีวิตเราในปัจจุบัน


                 จากการศึกษาวิวัฒนาการของมนุษย์ มนุษย์ในเอเชีย และการปรับตัวของมนุษย์ใสยุคหินเก่าและหินใหม่ ไปข้างต้น สรุปได้ว่า มนุษย์นั้นเกิดการเปลียนแปลงตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งในเรื่องลักษณะของร่างกายที่มนุษย์มีการยืนตรงขึ้น และมีสมองที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากมนุษย์เรามีการคิด วิเคราะห์ หรือฉลาดขึ้นนั่นเอง ซึ่งเป็นเหตุผลทำให้มนุษย์มีการดำรงชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปจากการล่าสัตว์หาของป่า มาเป็นการทำเกษตรกรรม และมีเทคโนโลยีที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์เรามาใช้ในการอำนวยความสะดวกนั่นเองค่ะ